1. ที่มา
1.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดไว้ในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ หมวด 6 รัฐสภา หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น และหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
1.2 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 กำหนดให้การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม หลักการนี้ได้ปรากฏในมาตรา 3/1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ซึ่งบัญญัติไว้ในวรรคสามว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของแต่ละภารกิจ
1.3 พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 หมวดที่ 2 การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน (3) ได้กำหนดให้ในการปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการนั้น ก่อนเริ่มดำเนินการส่วนราชการนั้นจะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือชี้แจงทำความเข้าใจ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงประโยชน์ที่ส่วนรวมจะได้รับจากภารกิจนั้น และ (4) ให้ถือเป็นหน้าที่ของข้าราชการ ที่จะต้องคอยรับฟังความคิดเห็นและความพึงพอใจของสังคมโดยรวมและประชาชนผู้รับบริการ เพื่อปรับปรุงหรือเสนอแนะต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อให้มีการปรับปรุงวิธีปฏิบัติราชการให้เหมาะสม
1.4 แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2551 - พ.ศ. 2555) ได้ให้คุณค่าความสำคัญและยึดมั่นในปรัชญา หลักการ และแนวทางของการให้ประชาชนเป็น ศูนย์กลาง และให้ความสำคัญกับ การมีส่วนร่วมของประชาชน โดยกำหนดในประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 ปรับรูปแบบการทำงานให้มีลักษณะเชิง บูรณาการ เกิดการแสวงหาความร่วมมือและสร้างเครือข่ายกับฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งเปิดให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วม
1.5 การปฏิรูปทางการเมืองและกระแสความต้องการของประชาชนที่ต้องการเข้ามามี ส่วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องปรับตัวโดยเปิดระบบราชการเข้าสู่กระบวนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participative Democracy) ที่ยอมรับและให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจ ร่วมดำเนินการ และติดตามตรวจสอบผลการดำเนินงาน เพื่อให้มีกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะและการตัดสินใจที่รอบคอบ โปร่งใส เป็นธรรม และได้รับการยอมรับจากประชาชน อันนำไปสู่ประสิทธิภาพของระบบราชการที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
2. ความหมาย/คำจำกัดความ
การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Governance) หมายถึง การบริหารราชการ ที่นำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผน การตัดสินใจ การดำเนินงาน และการประเมินผล โดยมีการจัดระบบงาน/วิธีการทำงาน การจัดโครงสร้าง และการสร้างวัฒนธรรมการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เอื้อต่อการเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการ
การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) มีความหมายที่หลากหลายโดยเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมและการเมือง ในที่นี้ หมายถึง กระบวนการที่ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่เกี่ยวข้องมีโอกาสเข้าร่วมในกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆ ของการบริหาร ตั้งแต่การรับรู้ข้อมูลการปฏิบัติงาน การร่วมแสดงทัศนะความคิดเห็น การร่วมเสนอปัญหาและความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น การร่วมคิดแนวทางการแก้ไขปัญหา การร่วมในกระบวนการตัดสินใจ การร่วมในการดำเนินการ และการร่วมติดตามประเมินผล รวมทั้ง การร่วมรับผลประโยชน์จากการพัฒนา ซึ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางวิชาการมีหลากหลายตัวแบบ ในที่นี้ใช้ตัวแบบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนของสมาคมการมีส่วนร่วมสากล ((IAP2 - International Association for Public Participation ) ที่เรียกว่า Public Participation Spectrum แบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 การมีส่วนร่วมในระดับให้ข้อมูลข่าวสาร (To Inform) : เป็นการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ เป็นระดับการมีส่วนร่วมที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมน้อยที่สุด แต่ถือว่าเป็นขั้นพื้นฐานของการมีส่วนร่วมและมีความสำคัญมาก โดยหน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นจริง ถูกต้อง ทันสมัย และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในการได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับภารงานของภาครัฐ โดยรูปแบบการมีส่วนร่วมในระดับนี้อยู่ในลักษณะการให้ข้อมูลทางเดียวจากภาครัฐสู่ประชาชน
ระดับที่ 2 การมีส่วนร่วมในระดับการปรึกษาหารือ (To Consult) : เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และแสดงความคิดเห็น รวมทั้งข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการ/ การปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐอย่างอิสระและเป็นระบบ โดยหน่วยงานภาครัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และนำข้อเสนอแนะ ความคิดเห็น และประเด็นที่ประชาชนเป็นห่วงไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงนโยบาย หรือพัฒนาวิธีการปฏิบัติงานในหน่วยงาน และประกอบการตัดสินใจ โดยรูปแบบการมีส่วนร่วมในระดับนี้ทำได้โดยการสำรวจความคิดเห็น การจัดเวทีสาธารณะ การเสวนากลุ่ม เป็นต้น
ระดับที่ 3 การมีส่วนร่วมในระดับให้เข้ามามีบทบาท (To Involve) : เป็นลักษณะที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องในกระบวนการวางแผนและตัดสินใจ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลระหว่างรัฐกับประชาชนอย่างจริงจัง และมีจุดมุ่งหมายชัดเจน โดยประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การวางแผนงานโครงการ และวิธีการปฏิบัติงาน ซึ่งหน่วยงานภาครัฐ มีหน้าที่จัดระบบอำนวยความสะดวกและยอมรับการเสนอแนะ และมีการตัดสินใจร่วมกับภาคประชาชน การมีส่วนร่วมระดับนี้อาจดำเนินการในรูปแบบกรรมการที่มีตัวแทนภาคประชาชนเข้าร่วม
ระดับที่ 4 การมีส่วนร่วมในระดับสร้างความร่วมมือ (To Collaborate) : เป็นการให้ความสำคัญกับบทบาทของประชาชนในระดับสูง โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การเป็นหุ้นส่วนกับประชาชนในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ ตั้งแต่การระบุปัญหา พัฒนาทางเลือก และแนวทางแก้ไข รวมทั้งการเป็นภาคีในการดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ ดังนั้นการมีส่วนร่วมในระดับนี้ คือ การที่ภาครัฐสัญญากับประชาชนและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินงานร่วมกัน และนำแนวคิดใหม่ ๆ หรือข้อเสนอแนะของประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งความคิดเห็นของประชาชนจะสะท้อนออกมาจากผลของการตัดสินใจที่ค่อนข้างสูง โดยรูปแบบการมีส่วนร่วมในขั้นนี้ เช่น คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน คณะที่ปรึกษาภาคประชาชน เป็นต้น
ระดับที่ 5 การมีส่วนร่วมในระดับเสริมอำนาจประชาชน (To Empower) : เป็นระดับการมีส่วนร่วมที่ประชาชนมีบทบาทในระดับสูงสุด โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีบทบาทในการเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งผลการตัดสินใจมีผลผูกพันให้หน่วยงานภาครัฐจะต้องดำเนินการตามการตัดสินใจของประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับสูงสุดนี้ เน้นให้ประชาชนมีบทบาทในการบริหารจัดการโดยเป็นผู้ดำเนินภารกิจ และภาครัฐมีหน้าที่ในการส่งเสริมสนับสนุนเท่านั้น ประโยชน์ของการตัดสินใจในขั้นนี้ คือ การสร้างการเรียนรู้ ความเข้าใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน รูปแบบการมีส่วนร่วมในขั้นนี้ เช่น การลงประชามติเพื่อพิจารณาว่าควรมีการจัด ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ของชุมชนหรือไม่ เป็นต้น
3. ผลการดำเนินงาน
3.1 การส่งเสริมการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม
ในการส่งเสริมและผลักดันการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมในปี พ.ศ. 2554 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ส่งเสริมให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการ ตั้งแต่การให้ข้อมูลข่าวสารซึ่งเป็นระดับเริ่มต้นของการมีส่วนร่วมและมีความสำคัญมากเนื่องจากการที่ประชาชนหรือภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ทันการณ์ และทั่วถึง จะทำให้สามารถพัฒนาระดับการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการไปสู่ระดับสูงขึ้น ได้แก่ ระดับการปรึกษาหารือ ระดับการเข้ามาเกี่ยวข้อง ระดับความร่วมมือ และระดับการเสริมอำนาจประชาชน ที่ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจที่จะเลือกแนวทางการพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่นตนเองและรัฐเป็นเพียงผู้สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเหล่านั้นต่อไป โดยระบบราชการต้องมีการปรับระบบและวิธีการทำงาน วัฒนธรรมการทำงาน และโครงสร้างองค์กร รวมทั้งการกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมหรือการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการ
ในปี พ.ศ. 2554 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ส่งเสริมการหารราชการแบบมีส่วนร่วมด้วยการสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม โดยการจัดให้มีการมอบรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมในระดับจังหวัด ซึ่งกำหนดเป็น 3 ระดับรางวัล ได้แก่ ระดับดีเยี่ยม ระดับดี และระดับชมเชย โดยมีจังหวัดที่ดำเนินการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการและมีกรณีตัวอย่างที่เป็น ซึ่งผ่านการประเมินได้รับรางวัลฯ ดังกล่าว รวม 18 จังหวัด แบ่งตามระดับรางวัล ดังนี้
รางวัลระดับดีเยี่ยม 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดตาก จังหวัดตราด จังหวัดนครพนม จังหวัดพัทลุง จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดราชบุรี จังหวัดลำพูน จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดอ่างทอง
รางวัลระดับดี 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดหนองบัวลำภู
รางวัลชมเชย 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง และจังหวัดอุดรธานี
จากการถอดบทเรียนการดำเนินการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการในระดับจังหวัด พบว่าปัจจัยสำเร็จที่ทำให้จังหวัดมีการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ดังนี้
1) ผู้นำซึ่งรวมถึงผู้นำตามธรรมชาติมีภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตย มีความรู้ ความเข้าใจหลักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และหลักการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม และเปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของทุกภาคส่วน รวมทั้งการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของข้าราชการ และประชาชน ตลอดจนภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างดี
2) ความเชื่อมั่น ศรัทธา และยอมรับในตัวผู้นำ รวมทั้งความเชื่อมั่นในแนวคิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้เกิดความมุ่งมั่นในการทำงานที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการ และการทำงานบูรณาการร่วมกับภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง
3) ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม และความกระตือรือร้นที่จะสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารราชการของข้าราชการ/บุคลากรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
4) ความสนใจและกระตือรือร้นของประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการ ทำให้เกิดการทำงานเพื่อส่วนรวมด้วยความสมัครใจและเต็มใจ ซึ่งเกิดจากความเป็นพลเมืองที่รู้จักหน้าที่และสิทธิของตน และตระหนักในความสำคัญของการมีส่วนร่วม รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการตั้งแต่เริ่มแรก
5) กระบวนการและรูปแบบทำงานแบบบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ประชาสังคม กลุ่มต่าง ๆ ในชุมชน ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมที่กว้างขวาง และมีการทำงานแบบพหุภาคี รวมทั้งการทำงานเป็นเครือข่าย ๆ การเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าร่วมกิจกรรมและขยายผลไปในแนวราบทำให้เกิดการเชื่อมประสานเป็นเครือข่าย และทำให้มีการขยายผลออกไปในหลายพื้นที่ และมีการเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่องในเครือข่ายต่าง ๆ
6) การจัดทำยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและใช้แผนชุมชนเป็นฐานในการสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติและสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในการทำงานและความร่วมมือร่วมกันในพื้นที่
7) การมีปรัชญาในการทำงานที่ชัดเจน เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้เกิดอุดมการณ์ร่วมที่ชัดเจน ทุกคนจึงมีความมุ่งมั่นและเข้าใจแนวทางปฏิบัติที่ไปในทิศทางเดียวกัน
8) การสนับสนุนทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งในด้านงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ และบุคลากรในการดำเนินการโครงการหรือกิจกรรมในการพัฒนาพื้นที่ที่มาจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจะทำให้เกิดแรงจูงใจให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการ และมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
9) การดำเนินงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ทำให้เกิดการยอมรับและสร้างความร่วมมือในการพัฒนา
10) กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน
11) การสื่อสารภายในที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
12) การจัดโครงสร้างการทำงานร่วมกัน โดยจัดโครงสร้างแบบหลวม ๆ และทำงานในแนวราบ รวมทั้งไม่ใช้รูปแบบสั่งการจากบนลงล่าง ซึ่งภาครัฐเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกและสนับสนุนทำให้เกิดระบบที่เอื้อต่อการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม
การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมหรือการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายทั้งส่วนของภาครัฐและภาคประชาชนเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นในการบริหารราชการและนำไปสู่การได้รับรางวัล United Nations Public Service Awards 2011 รางวัลรองชนะเลิศ สาขาการส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายผ่านกลไกด้านนวัตกรรม (Fostering Participation in Policy Making Decisions through Innovative Mechanisms) จาก "การบริหารจัดการชลประทานแบบมีส่วนร่วม โดยคณะกรรมการภาคประชาชนและองค์กรผู้ใช้น้ำของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากระเสียว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี (Participatory Irrigation Management by Civil Society Committee and Water User Organizations: The Kra Seaw Operation and Maintenance Office Dan Chang District Suphanburi Province, Thailand"
สำหรับการส่งเสริมการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมในส่วนราชการส่วนกลางระดับกรม/เทียบเท่า สำนักงาน ก.พ.ร. ได้มีการพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินการดำเนินการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารราชการ เพื่อใช้ในการประเมินและมอบรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูง และพัฒนาองค์ความรู้ที่เป็นนวัตกรรมในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดบริการสาธารณะร่วมกับภาครัฐ เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในระบบราชการยิ่งขึ้น
การพัฒนาระบบราชการให้เกิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชนให้เกิดการทำงานร่วมกับภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยการจัดกิจกรรมผ่านเวทีการประชุม/สัมมนา จดหมายข่าวพัฒนาระบบราชการ และเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ.ร.
3.2 การส่งเสริมความร่วมมือการทำงานในลักษณะเครือข่าย
การทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นในลักษณะเครือข่าย เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาขีดความสามารถและมาตรฐานการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนให้ดียิ่งขึ้นตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งมีปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ 5 ประการ ได้แก่ 1) ภาวะผู้นำที่จะสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธาและความร่วมมือร่วมใจในการทำงานที่มีความสอดคล้องกัน ซึ่งต้องมีวิสัยทัศน์ในเชิงกลยุทธ์ ความสื่อสัตย์สุจริต และเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม 2) การสร้างค่านิยมในการทำงานร่วมกันอย่างเหนียวแน่น ซึ่งจะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรภาพอย่างแท้จริง 3) การพัฒนาปรับปรุงการทำงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดการปรับกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง 4) การจัดทำฐานข้อมูลสมาชิกเครือข่ายเพื่อใช้ในการติดต่อประสานงานและ มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และ 5) การสร้างช่องทางในการติดต่อสื่อสาร และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ส่งเสริมและผลักดันให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา มีการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นในลักษณะเครือข่าย ทั้งที่เป็นความร่วมมืออย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นจากประเด็นการพัฒนาที่เป็นปัญหา/เป็นประเด็นเฉพาะคราว ตัวอย่างเช่น
1) การลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์และเทศกาลปีใหม่ ที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งส่วนราชการ /องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน/ชุมชน
2) เครือข่ายยุติธรรมชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรมในการสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับชุมชน เพื่อที่จะอำนวยความยุติธรรม สร้างความเป็นธรรมและความสงบสุขในสังคมร่วมกัน โดยส่งเสริมการรวมตัวของประชาชนในลักษณะของ "เครือข่าย" เพื่อทำงานร่วมกับภาครัฐในภารกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชุมชน และเพื่อเป็นกลไกในการร่วมกันสรรหาแนวทางที่จะทำให้ภาครัฐและภาคประชาสังคมร่วมกันสร้างสังคมที่ยุติธรรม
3) เครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งมีบทบาทในการเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานและพัฒนาเครือข่ายการคุ้มครองแรงงานให้มีความรู้ทักษะด้านการคุ้มครองแรงงานและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรและสังคม
นอกจากนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. ยังได้ร่วมกับสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ศึกษา วิจัยเพื่อค้นหานวัตกรรมการบริหารราชการที่จะนำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบราชการ ร่วมมือกับสื่อมวลชนเพื่อสร้างความร่วมมือในการสร้างความรู้ความเข้าใจและสื่อสารข้อมูลข่าวสารการพัฒนาระบบราชการที่ถูกต้อง ทันสมัย และทั่วถึง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการในวงกว้าง และประสานความร่วมมือกับเครือข่ายการพัฒนาระบบราชการในส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และจังหวัด และการสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชนในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการ รวมทั้งมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการไปสู่เป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 9 ธันวาคม 2559 14:59:42 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 9 ธันวาคม 2559 14:59:42