Logo of OPDC ก.พ.ร. FAQ สำหรับการค้นหา  |  ภาษาไทย   |   English   |   Mobile   |   Help   |  

หน้าหลัก หน้าหลัก | ติดต่อ | ผังเว็บไซต์ |  หน้าหลัก
Share แชร์ พิมพ์หน้านี้

เวทีความเห็น และรับเรื่องร้องเรียน

สนทนาเรื่องรัฐสวัสดิการกับอาจารย์บุญส่ง ชเลธร


สนทนาเรื่องรัฐสวัสดิการกับอาจารย์บุญส่ง ชเลธร
.
ดร.โสภณ พรโชคชัย*
.
.
ผมได้พบกับอาจารย์บุญส่งเมื่อคราวไปออกบูธอสังหาริมทรัพย์ในกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ ผมเป็นคนพานักพัฒนาที่ดินและอาคารชุดไทย ไปขายสินค้าให้กับคนสวีเดน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2552
.
อาจารย์บุญส่งเป็นผู้ประสานงานที่แข็งขันอย่างยิ่งของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำหน้าที่ประสานงานด้านการศึกษาทางไกลให้กับคนไทยในต่างประเทศที่สนใจศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ซึ่งในอนาคตก็จะมีถึงระดับปริญญาเอกด้วย แต่ในอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน อาจารย์บุญส่งเป็นผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นหนึ่งใน 13 กบฎเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งถูกจับในระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อาจารย์บุญส่งจึงนับเป็นคนเดือนตุลาคนหนึ่ง
.
.
รัฐสวัสดิการในสวีเดน
.
อาจารย์บุญส่งเล่าให้ฟังถึงสวัสดิการสังคมที่ประเทศสวีเดนจัดให้ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายประการ ดังเช่น:
.
1. เด็กนักเรียน สามารถเข้าโรงเรียนได้ฟรี อุปกรณ์การเรียนฟรี โดยส่งให้เรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงปริญญาเอกตามกำลังความสามารถของนักเรียนเอง
.
2. เด็กทุกคนมีเงินเดือนให้ใช้ เทียบเป็นเงินไทยคงเป็นเงินเดือนละประมาณ 4,000 บาท โดยทุกคนได้รับเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นลูกตาสีตาสาหรือลูกนายกรัฐมนตรีก็ตาม
.
3. ผู้หญิงสามารถลาคลอดได้ยาวนานเป็นปี แถมยังได้รับรายได้เกือบเท่าเงินเดือนที่รับอยู่ก่อนคลอดเสียอีก
.
4. สำหรับคนทำงาน จะได้รับเงินเดือนตามลักษณะงานที่ทำ ไม่ใช่ตามวุฒิ เช่น ถ้าทำงานขับรถประจำทาง ไม่ว่าจะจบระดับไหน ก็เริ่มต้นด้วยเงินเดือนที่เท่ากัน และในระยะยาว คนขับรถประจำทางอาจมีรายได้มากกว่าคนจบปริญญาโทที่ทำงานตรงสาขาแต่ยังทำงานไม่นาน เป็นต้น
.
5. ผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือไม่ก็ตาม ต่างก็ได้รับบำนาญ โดยอาจารย์บุญส่งเล่าว่า ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนในโลกก็จะได้รับเงินนี้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้สูงอายุส่วนหนึ่งจึงนิยมมาอยู่ในประเทศไทยหรือประเทศอื่น ๆ เพราะค่าครองชีพถูกกว่า ด้วยบำนาญที่ได้ จึงสามารถอยู่ได้อย่างสบาย
.
เท่าที่ผมพอจำได้ก็คงมีเท่านี้ แต่นี่แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบอย่างสูงที่รัฐบาลมีให้กับประชาชนของตนเอง ถ้าประเทศไทยเราทำได้บ้าง ก็คงจะดียิ่ง
.
.
ความสำเร็จมาจากภาษีโหด
.
การที่ประเทศสวีเดนสามารถจัดสวัสดิการได้อย่าง เหลือเชื่อ เช่นนี้ ไม่ใช่ของฟรี ไม่ใช่อยู่ดี ๆ รัฐบาลนึกจะทำก็ทำได้ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากภาษีอากรที่เก็บจากประชาชน และรัฐบาลของเขาโหดกับการเก็บภาษีเป็นอย่างยิ่ง ข้อนี้อาจต่างจากเรามาก เราอาจเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้ต่าง ๆ นานา แต่คนไทยเรากลับพยายามเลี่ยงภาษี ในกรณีสวีเดน ภค่าเพิ่ม (VAT) ของเขาเก็บ 25% ภาษีรายได้บุคคลธรรมเก็บระหว่าง 30-62% ของรายได้สุทธิ
.
อย่างกรณีร้านอาหารที่มักมีโอกาสที่ภาษีรั่วไหล เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะมีสมุดบันทึกให้พนักงานลงชื่อเข้าทำงาน เพื่อป้องกันการ มั่ว จ้างแรงงานโดยไม่มีตัวตน หากวันใดที่เจ้าหน้าที่มาตรวจ ต้องมีจำนวนพนักงานครบตามที่ลงชื่อ บางครั้งมีกรณีที่พนักงานคนหนึ่งคนใดลืมลงชื่อ แต่มาทำงาน เจ้าของร้านก็จะถูกปรับ อาน ไปเลย คือเป็นเงินราว 100,000 บาทนั่นเอง พนักงานที่ไม่ลงชื่อก็ยังถูกปรับเช่นกัน นอกจากนี้กรมสรรพากรยังส่งเจ้าหน้าที่มานับจำนวนขวดเบียร์ นับปริมาณขยะหลังร้านอีกต่างหาก
.
.
การปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง
.
นี่แสดงให้เห็นว่ากฎหมายของสวีเดนมีความโหดมาก ผู้คนจึงไม่กล้าเลี่ยงกฎหมาย และรู้สึกเข็ดหลาบที่จะละเมิดกฎหมาย คนสวีเดนกลัวกฎหมาย แต่ไม่กลัวตำรวจ ผิดกับคนไทย กลัวตำรวจ แต่ไม่กลัวกฎหมาย
.
แน่นอนว่าการโกง การฉ้อราษฎร์บังหลวง ก็มีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา แต่กระบวนการปราบปรามการโกงก็มีพัฒนาไปอย่างทันท่วงทีเช่นกัน ดังนั้นโอกาสที่ใครจะคิดติดสินบนข้าราชการ จึงมีได้ยากยิ่ง และถือเป็นการ ฆ่าตัวตาย มากกว่า เพราะต้นทุนการทำผิดกฎหมาย แพงกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายมากมายนัก
.
ในส่วนของข้าราชการเอง ระบบได้ทำให้เกิดความเข้มงวดมาก แม้แต่ประมุขของประเทศ หากได้รับของขวัญจากพระราชอาคันตุกะ ก็ยังต้องมอบของขวัญเหล่านั้นให้กับทางราชการ จะเก็บไว้ใช้สอยส่วนตัวไม่ได้
.
.
การเมืองที่เอื้ออำนวย
.
อาจารย์บุญส่งเล่าให้ฟังว่า รัฐบาลที่เข้มแข็งของสวีเดนนั้น ในช่วงหนึ่งพรรคสังคมประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งทุกๆ 3 ปีจนสามารถบริหารงานต่อเนื่องได้ถึง 44 ปี (1932-1976) ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์สำคัญของพรรครัฐบาลรังสรรค์ระบบสวัสดิการสังคมที่ดีให้กับประเทศชาติได้ ดังนั้นการเมืองที่เข้มแข็งจึงเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือการมีสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง ตามหลักการที่ว่า สิทธิที่พึงมีพึงได้ ย่อมมาจากการเรียกร้องที่เป็นธรรม ไม่ใช่ได้มาจากการร้องขอแต่อย่างใด
.
ปัจจัยแห่งความสำเร็จอีกประการหนึ่งของการสถาปนารัฐสวัสดิการก็คือ การที่ประชาชนได้รับการศึกษาดี มีความรู้ มีจิตสำนึก ทำให้การพัฒนาของสังคมเป็นไปในแนวทางที่ก้าวหน้า ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือของนักการเมือง
.
อาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลของประเทศสวีเดนมีการตอบสนองสูงต่อสังคม เช่น ในคราวเกิดสึนามิเมื่อปลายปี 2547 ชาวสวีเดนเสียชีวิตในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เด็กกำพร้าขาดพ่อแม่ และยังต้องเสียภาษีมรดก รัฐบาลจึงออกกฎหมายยกเลิกภาษีมรดก โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิดังกล่าวตามหลักการที่ว่ากฎหมายจะมีผลย้อนหลังได้หากเป็นคุณ
.
.
หนทางสู่แบบอย่างสวีเดน
.
มีโอกาสหรือไม่ที่ไทยจะมีรัฐสวัสดิการเช่นสวีเดน ข้อนี้คงต้องเปรียบเทียบประเทศทั้งสองในแง่มุมต่าง ๆ ดังตารางต่อไปนี้:
.
http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200903/04_054405_7.jpg
[img]http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200903/04_054405_7.jpg[/img]
.
.
หากเปรียบเทียบสวีเดนกับไทยจะพบว่า ประเทศทั้งสองมีขนาดใกล้เคียงกันมาก โดยไทยมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่ประชากรไทยที่ 65.493 ล้านคนนั้นมากกว่าสวีเดนถึง 7.24 เท่า ทำให้ความหนาแน่นของประชากรไทยสูงกว่าสวีเดนมาก ขนาดเศรษฐกิจไทยใหญ่กว่าสวีเดน 59% อย่างไรก็ตามหากพิจารณารายได้ต่อหัวจะพบว่าสวีเดนมีรายได้ต่อหัวสูงกว่าถึง 4.55 เท่า
.
ในกรณีการจัดเก็บภาษีนั้น สวีเดนจัดเก็บได้มากกว่าไทยถึง 5.48 เท่า และงบประมาณแผ่นดินสูงถึง 4.76 เท่า และหากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า คนไทยเสียภาษีโดยเฉลี่ยปีละ 26,384 บาท ในขณะที่ชาวสวีเดนเสียภาษีปีละ 1,046,667 ล้านบาท ปมตรงนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่า ระบบสวัสดิการสังคมที่แสนดีนั้นมีต้นทุนมหาศาลที่ทุกคนต้องช่วยกันจ่าย ถ้าเราจะมีรัฐสวัสดิการที่รับผิดชอบต่อประชาชนทุกคน ผู้เสียภาษีต้องพร้อมใจกันเสียภาษีให้มากกว่านี้
.
แต่ปัญหาก็คือคนจำนวนมากไม่เสียภาษี ไม่ยอมเสียภาษี และคนอีกจำนวนมาก อ้างว่าเสียภาษีไปก็จะถูกนักการเมืองหรือข้าราชการนำไปโกงกินกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นข้ออ้าง เราต้องแยกกันระหว่างการที่พลเมืองไทยต้องมีหน้าที่เสียภาษี กับการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง
.
.
* ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ขณะนี้เป็นประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย (www.thaiappraisal.org) และยังเป็นกรรมการหอการค้าสาขาจรรยาบรรณ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ และกรรมการสภาที่ปรึกษาของ Appraisal Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรส Email: sopon@thaiappraisal.org

http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms20093483659.jpg
[img]http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms20093483659.jpg[/img]

http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms20093483353.jpg
[img]http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms20093483353.jpg[/img]
pornchokchai    4 มีนาคม 2552 10:34:39    IP: 58.8.34.xxx
    ลิงค์     |     สมาชิกเครือข่าย     |     RSS feed     |     คำถามที่พบบ่อย            

เกี่ยวกับ

กฏหมายและระเบียบ

หนังสือเวียน

ข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ

ศูนย์ความรู้

ประชาสัมพันธ์

W3C   Facebook Facebook สำนักงาน ก.พ.ร.   PMQA Channel  ฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ  ipv6 ready  www.info.go.th  การปฏิเสธความรับผิดชอบ |  Webmail| Intranet สำหรับข้าราชการ | ผังเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ 

Slocan

สงวนลิขสิทธิ์โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

59/1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร. 02 356 9999 โทรสาร 02 281 7882 สายด่วน 1785 e-mail: administrator@opdc.go.th