Logo of OPDC ก.พ.ร. FAQ สำหรับการค้นหา  |  ภาษาไทย   |   English   |   Mobile   |   Help   |  

หน้าหลัก หน้าหลัก | ติดต่อ | ผังเว็บไซต์ |  หน้าหลัก
Share แชร์ พิมพ์หน้านี้

เวทีความเห็น และรับเรื่องร้องเรียน

ที่อยู่อาศัยไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนตามคณะกรรมการปฏิรูปอ้าง


ที่อยู่อาศัยไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนตามคณะกรรมการปฏิรูปอ้าง

ดร.โสภณ พรโชคชัย
http://www.facebook.com/pornchokchai

           ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน มีข้อสรุปประเด็นปัญหาหลักของประเทศ 14 ประเด็น โดยประเด็นแรกก็คือ เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องเร่งด่วน และตามด้วยปัญหาค่าจ้าง คุณภาพชีวิต แรงงาน สวัสดิการและการคุ้มครองทางสังคม การศึกษา หนี้สิน สาธารณสุข อิทธิพลเถื่อน ฯลฯ นั้น ผู้เขียนในฐานะที่เคยสำรวจชุมชนแออัดทั่วเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และทุกจังหวัดทั่วประเทศมาแล้ว รวมทั้งสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เห็นว่า ข้อสรุปนี้อาจเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงขอเสนอข้อมูลเพื่อความกระจ่าง

[img]http://www.area.co.th/images/img_clips/2010-08-09_clip_image002_0006.gif[/img]

           1.   ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ที่อยู่อาศัยค่อนข้างดี สัดส่วนของประชากรเมืองซึ่งมักจะอยู่กันอย่างแออัดกว่า มีอยู่ค่อนข้างต่ำ คือมีเพียง 31% หรือหนึ่งในสามของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น  จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่า แม้จำนวนประชากรเมืองจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2543-2547 แต่เป็นเพราะการยกฐานะเทศบาลขึ้นใหม่หลายแห่ง แต่ในช่วงปี 2547-2552 การเพิ่มขึ้นของประชากรเมืองน้อยมาก  นอกจากนี้อัตราการขยายตัวของประชากรของไทยก็ค่อนข้างต่ำ รวมทั้งความหนาแน่นของประชากรที่ค่อนข้างต่ำเช่นกัน  ที่สำคัญจำนวนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่เกิดความขาดแคลนที่อยู่อาศัย และทำให้จำนวนประชากรต่อบ้านลดลงตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีขึ้น
 
[img]http://www.area.co.th/images/img_clips/20100809_clip_image004_0002.gif[/img]

           2. ในประเทศไทย ครัวเรือนส่วนใหญ่ถึงสามในสี่โดยประมาณ มีบ้านและที่ดินเป็นของตนเอง ซึ่งนับว่าสูงมาก  หากนับรวมผู้ที่มีบ้านบนที่ดินเช่าด้วยแล้ว ครัวเรือนที่มีบ้านจะสูงถึงสี่ในห้าของครัวเรือนทั้งหม  นี่เป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยแทบจะไม่มีเลย  ตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2543-2550) สัดส่วนของบ้านเช่าเพิ่มขึ้นจาก 11.1 เป็นเพียง 12.2% เท่านั้น  ซึ่งก็คงเป็นไปตามภาวะของเมืองยุคใหม่ที่มีการเช่าบ้านมากขึ้น แต่ก็แทบจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงนักในกรณีของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา

[img]http://www.area.co.th/images/img_clips/20100809_clip_image006_0002.gif[/img]

           3. เมื่อตรวจสอบดูจากค่าใช้จ่ายต่อเดือนของครัวเรือน พบว่า รายจ่ายสำหรับที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนประมาณ 18% - 25% ของรายจ่ายทั้งหมด หรือเพียงหนึ่งในห้า  หนึ่งในสี่ของรายจ่ายทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมาก สัดส่วนรายจ่ายด้านที่อยู่อาศัยโดยรวมกลับลดลงเล็กน้อย จาก 22% ในปี 2543 เป็น 20% ในปี 2550  การนี้แสดงให้เห็นว่าภาระของที่อยู่อาศัยคงมีไม่มากนักสำหรับครัวเรือนในประเทศไทย

           4. จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนล่าสุด ณ สิ้นปี พ.ศ. 2552 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า สัดส่วนของหนี้สินของครัวเรือนไทยลดลงจาก 63.3% ในปี 2550 เหลือ 60.9% ในปี 2552 แสดงว่าสถานการณ์หนี้ดีขึ้น และหนี้ในด้านที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น แสดงว่าภาระหนี้สินด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนมีไม่มากนัก

           5. สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนั้น มีอยู่ 4,325,791 หน่วย ณ ปี 2552 ในขณะที่ปีที่กรุงเทพมหานครฉลองครบรอบ 200 ปีนั้น มีบ้านอยู่เพียง 1 ล้านหน่วยเท่านั้น  แสดงว่ามีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะบ้านจัดสรรและอาคารชุดภาคเอกชน ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก  จนทดแทนชุมชนแออัดและชุมชนผู้มีรายได้น้อยอื่น  ณ ปี 2500 มีบ้านที่ต่ำกว่ามาตรฐานถึง 46% ของทั้งหมด  ในขณะที่ปัจจุบันเหลือชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลไม่เกิน 5% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดเท่านั้น  สถานการณ์ที่อยู่อาศัยและการอยู่อาศัยของครัวเรือนไทยดีขึ้นอย่างเด่นชัดในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
           จากข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่อยู่ไม่สมควรถูกจัดเป็นปัญหาหลักหนึ่งใน 14 ปัญหาของประเทศแต่อย่างใด  หากรัฐบาลนำข้อมูลที่คลาดเคลื่อนนี้ไปใช้ ก็อาจเกิดโครงการที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น บ้านมั่นคง และบ้านเอื้ออาทร ที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพียงบางส่วน โดยสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมากเกินความจำเป็นนับพันนับหมื่นล้าน ทำให้เกิดความสูญเสียทรัพยากรของประเทศชาติ

อ้างอิง
   มติชนออนไลน์ 2 สิงหาคม 2553 เวลา 20:51:39 น.: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280757171&grpid&catid=01
   บทสรุปสำหรับผู้บริหาร การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2552 http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/service/survey/socioExec52.pdf
   ข้อมูลกรมการปกครอง http://203.113.86.149/xstat/pop52_1.html
   Litchfield Whiting Browne and Associates et.al. (1960). Greater Bangkok Plan B.E. 2533 (1990). Bangkok, Department of Town and Country Planning. หน้า 84
pornchokchai    13 สิงหาคม 2553 11:02:40    IP: 58.8.40.xxx

ความเห็นที่ 1
ขอดึงมาสู่ที่อยู่อาศัยของข้าราชการซึ่งมีความไม่เป็นธรรมอยู่หลายประการ ทำให้ข้าราชการได้สวัสดิการที่ไม่เท่าเทียมกันเลย ความเหลื่อมล้ำนี้ทำให้เกิดการซิกแซก ในส่วนของผู้ที่มีพาวเวอร์ที่จะทำให้ตนเองได้มาซึ่งค่าเช่าบ้าน ในขณะที่ในปัจจุบันข้าราชการมีบ้านที่จะต้องผ่อนกัน และเกือบ 50% ของเงินเดือนเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้อบ้าน และเกือบจะ 90%ที่ผ่อนบ้านโดยเบิกไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาจากจน ความไม่ยุติธรรมในการเบิกค่าเช่าบ้านสรุปได้ดังนี้
1. กรณีมีบ้านพักของทางราชการจัดเตรียมไว้ให้
-  เข้าอยู่ก่อนระเบียบปี 2551 จะออก บ้านพักไม่สามารถที่จะอยู่อาศัยพอสำหรับครอบครัวขนาดกลางทำให้ข้าราชการต้องคืนบ้านพักและต้องยอมเสียเงินเพื่อเช่าซื้อบ้านพักเพื่อให้ตนเองและครอบครัวได้อาศัยอยู่แต่การซื้อบ้านได้มาซึ่งความยากลำบากเนื่องจาก ครึ่งหนึ่งของเงินเดือนหมดไปกับการส่งบ้านและไม่สามารถเบิกสวัสดิการได้แม่แต่สลึงเดียว
2. หลังจากระเบียบของปี 2551 ออก ผู้ที่ย้ายมาและมีบ้านพักที่ผ่อนอยู่แล้วกลับได้ค่าเช่าบ้านเหมือนเดิมกลายเป็นสิทธิติดตัวอันนี้ยังพอทำเนาแต่ที่น่าเกลียดมากก็คือ ข้อนี้
3. ผู้ที่ย้ายมาประจำในจังหวัดที่ตนเองได้มีการเช่าซื้ออยู่แล้วถึง
แม้ว่าจะมีบ้านพัก (กรณีข้อ1)รองรับอยู่แล้วก็ไม่ต้องเข้าพักอาศัยในบ้านพักก็ได้ ให้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านที่มีหนี้อยู่ได้เลย
วิเคราะห์
- กรณีข้อ 1 ผู้ที่กระเสือกกระสนที่จะมีที่อยู่อาศัยเพื่อที่ตนเองจะได้มีแรงกายแรงใจในการปฏิบัติงานและมีผลกระทบโดยตรงจากการที่ทางราชการจัดบ้านพักให้แล้วไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างเพียงพอกับครอบครัว หรือครอบครัวไม่สามารถอาศัยอยู่ได้โดยปลอดภัย ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับตัวข้าราชการเองทำให้เดือดร้อนต้องหาที่พักอาศัยและต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อที่จะได้มาซึ่งที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและเพียงพอกับสมาชิกในครอบครัวขนาดเล็กเท่านั้น เนื่องจากบ้านพักที่จัดให้แคบมากและไม่มีห้องนอนเลย หรือมีห้องนอนเพียงห้องเดียวถ้ามีลูกเพียง 1 คน ถ้าเข้าสู่วัยรุ่นก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้แล้ว  การจัดสรรที่พักให้กับข้าราชการควรคำนึงถึงครอบครัวเขาด้วย ไม่ใช่ว่าให้เขาอยู่คนเดียว ลูกเมียเขาจะอยู่อย่างไรไม่สนใจ ทำให้เขาลำบากมากเหรือเกิน ต้องควักเงินส่งบ้านเอง ลำบากมากแต่ไม่สามารถเบิกได้แม่แต่บาทเดียว
- กรณีข้อ 2 อันนี้น่าเกลียดมากบางคนมีบ้านอยู่แล้วกำลังผ่อนส่งอยูอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งส่วนมากแล้วเป็นจังหวัดใหญ่ ๆ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ โคราช ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีเงินเหลือพอที่จะผ่อนเนื่องจากตนเองย้ายไปไหนไปคนเดียวและเบิกค่าเช่าที่พักได้ตลอด กลุ่มคนกลุ่มนี้จ้องที่จะย้ายกลับที่บ้านซึ่งตนเองได้ผ่อนชำระไว้ที่น่าเกลียดมากก็คือจังหวัดที่มีบ้านพักซึ่งทางราชการจัดไว้ให้และก็มีหลายคนที่ไม่สามารถอยู่ได้ตามข้อ 1 ต้องเสียเงินผ่อนบ้านเอง แต่คนกลุ่มนี้ย้ายมาหลังระเบียบอ 2551 ออกแล้ว กลับเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือคุณมีสิทธิที่จะเบิกค่าเช่าบ้านได้ แต่กลุ่มแรกที่กระเสือกกระสนที่จะอยู่รับราชการเหมือนกัน กลับไม่ได้อะไรเลย กลายเป็น 2 มาตรฐานไปแล้ว
****การออกระเบียบในด้านสวัสดิการควรคิดติตรองให้รอบคอบว่าสวัสดิการคือการให้แก่หมู่มวลสมาชิกที่ได้รับความเดือดร้อนและได้รับอย่างถ้วนหน้า สวัสดิการไม่ควรอิงระยะเวลาสวัสดิการมิใช่การปฏิบัติตามกฏหมายแต่เป็นการให้แก่ผู้ปฏิบัติงานโดยเฉพาะเพื่อประเทศชาติ ความเสมอภาคต้องมาก่อนเสมอ การที่ทำอะไรแล้วมีข้อเหลิ่อมล้ำควรปรับเสีย และไม่ควรตอบว่า คุณโชคไม่ดีตอนนั้นระเบียบยังไม่มี คุณอยากย้ายมาก่อนทำไม และฝากอีกอย่างก็คือ การที่รัฐจะให้สวัสดิการแก่คนของรัฐนั้น ควรดูด้วยว่าสิ่งที่คุณให้เขาใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่า ไม่ใช่ให้เฉพาะตัวเขาควรคำนึงถึงครอบครัวผู้ที่ติดตามมาดูแลคนของคุณให้เขามีเรี่ยวแรงในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิพภาพด้วย อยากให้ทบทวนในเรื่องค่าเช่าบ้านอึกครั้งว่าตอนนี้ยุติธรรมแล้วหรือยัง ถ้ารัฐให้สวัสดิการเกี่ยวกับค่าเช่าบ้านแก่ข้าราชการทีไม่สามารถจะพักในที่รัฐจัดให้และต้องเสียเงินซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยรับราชการในจังหวัดนั้นให้ได้รับประโยชน์โดยถ้วนหน้ากันด้วย  ข้าราชการจะได้มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานมากขึ้นด้วย  ขอฝากด้วย

trida    23 สิงหาคม 2553 12:50:17    IP: 117.121.220.xxx
    ลิงค์     |     สมาชิกเครือข่าย     |     RSS feed     |     คำถามที่พบบ่อย            

เกี่ยวกับ

กฏหมายและระเบียบ

หนังสือเวียน

ข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ

ศูนย์ความรู้

ประชาสัมพันธ์

W3C   Facebook Facebook สำนักงาน ก.พ.ร.   PMQA Channel  ฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ  ipv6 ready  www.info.go.th  การปฏิเสธความรับผิดชอบ |  Webmail| Intranet สำหรับข้าราชการ | ผังเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ 

Slocan

สงวนลิขสิทธิ์โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

59/1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร. 02 356 9999 โทรสาร 02 281 7882 สายด่วน 1785 e-mail: administrator@opdc.go.th