Logo of OPDC ก.พ.ร. FAQ สำหรับการค้นหา  |  ภาษาไทย   |   English   |   Mobile   |   Help   |  

หน้าหลัก หน้าหลัก | ติดต่อ | ผังเว็บไซต์ |  หน้าหลัก
Share แชร์ พิมพ์หน้านี้

เวทีความเห็น และรับเรื่องร้องเรียน

การขยายเวลาราชการของข้าราชการอาจารย์เป็น65ปี


ขอแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้  เนื่องจากพบว่าแทนที่จะเป็นประโยชน์กลับสร้างปัญหามากกว่า  ดังนี้
1. มีปรากฏการณ์การฟ้องร้องและการอุทธรณ์เกี่ยวกับการขอต่ออายุราชการมากมาย  ทุกๆปี  เพราะเกิดความไม่โปร่งใส  เล่นพรรคเล่นพวกใช้อิทธิพลเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง  โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของทางราชการ  ข้าราชการกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน  ควรคำนึงถึงประโยชน์ของหลวงและสร้างสรรความเจริญให้สังคม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการศึกษา  ที่มีภาระหน้าที่ในการอบรม บ่มสอนให้เยาวชนของชาติมีจิตสำนึกสาธารณะ  มากกว่าประโยชน์ส่วนตน  แต่กลับกลายเป็นว่าการขยายอายุราชการอาจารย์มหาวิทยาลัย  เป็นการตอบแทนบุญคุณพวกพ้อง  อาจารย์ระดับซี 9 ขึ้นไปถือว่าเป็นผู้อาวุโส  ยอมรับได้ว่ามีความรู้ความสามารถ  เลี้ยงชีพด้วยการเป็นอาจารย์มาตลอดชีวิต  แต่ในอายุ 60 ปีไปแล้ว  ก็มีผู้อาวุโสประเภท " พี่แก่แล้ว ทำมามากแล้ว  น้องๆทำบ้าง  จะเอาอะไรกับคนแก่" อยู่ไม่น้อย  หลายๆคน  หลัง 60 ก็เริ่มป่วย  ท่านควรพัก  แต่ต้องมาสอน ทำงานวิจัย  และแม้แต่แอบดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่ถูกต้องตามเกณฑ์ ก.พ.อ.  อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่ายังมีผู้อาวุโสที่น่านับถือ  และปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีและมีคุณค่าอย่างมหาศาลกับหน่วยงาน  หลังจากที่ได้รับการขยายอายุราชการเป็น 65 ปี  บางคนตลอดอายุราชการอาจมีความรู้และผลงานวิชาการมากมาย  แต่มีปัญหาการทำงานร่วมกับผู้ร่วมงานอย่างรุนแรง  โดยไม่ร่วมมือในงานใดๆทั้งสิ้น  มีปัญหาด้านมนุษยสัมพันธ์อย่างมาก  ฉลาดในการหลบเลี่ยงงานโดยอาศัยความอาวุโส หากไม่ได้ร่วมงานด้วยก็คงไม่รู้ว่าสภาพการทำงานเป็นอย่างไร  ผู้มีอำนาจในการพิจารณา  หากมองแต่ในแง่ความรู้ความสามารถอย่างเดียวก็คงต้องต่ออายุให้ถึง 65 ปีทุกคนไป  เพราะระดับรองศาสตราจารย์ก็ย่อมต้องมีผลงานเป็นที่ประจักษ์  แต่ถ้าพิจารณาในด้านพฤติกรรมการทำงานจะพบว่าการต่ออายุไปอีก 5 ปี หน่วยงานก็คงไม่ได้รับประโยชน์จากบุคคลนั้นเลย  เพราะตลอดอายุราชการหลายสิบปีก็ไม่เคยเอื้อเฟื้อ ร่วมมือ สนับสนุนและมีเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมงานเลย  เมื่อมีใครคัดค้านการขอขยายเวลาฯ  ก็มักจะข่มขู่ ฟ้องร้องเอาผิดผู้ที่ไม่เห็นด้วย  อาจารย์ผู้อ่อนอาวุโสกว่าต่างก็กลายเป็นจำเลยในโรงในศาล  ไม่ต้องทำงานทำการกัน  เพราะต้องคอยทำหนังสือชี้แจงกันไปมา  จากประสบการณ์ส่วนตัวทำให้สรุปได้ว่า  คนยิ่งมีความรู้สูง ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว  และเอาเปรียบผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน  อีกทั้งการศึกษาที่สูงส่งไม่ได้เป็นใบรับประกันคุณธรรมและจริยธรรมในตัวมนุษย์นั้นๆ  ทำให้ระลึกถึงคำที่ท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย เคยกล่าวไว้ว่าสังคมต้องการคนดี  คนเก่งสร้างได้ แต่คนดีสร้างยาก  
2.การขยายอายุราชการอาจารย์เป็น 65 ปี ทำให้เกิดความเสี่ยงในเรื่องอัตรากำลังในอนาคตของหน่วยงาน  ผู้เกษียณฯที่ต่ออายุ  ยังคงทำงานต่อไปได้อีกเพียง 5 ปี  จะเป็นช่วง 5 ปีที่เกิดสูญญากาศ  คือหน่วยงานจะไม่มีโอกาสได้รับอัตรากำลังใหม่  คนรุ่นใหม่ไม่ได้เกิด  ในบางหน่วยงานเกิดวิกฤติเรื่องอัตรากำลังแล้ว  ทั้งหน่วยงานมีแต่ผู้สูงอายุ  บุคลากรที่อายุน้อยที่สุดก็ 40 ปีขึ้นไปแล้ว  ผู้อาวุโสที่เป็นอาจารย์ระดับรองศาสตราจารย์กินเงินเดือนรวมเงินตำแหน่งก็อยู่ราวๆ5-70,000บาท  ท่านอยู่อีก 5 ปีแล้วก็ไป  หน่วยงานจะเป็นอย่างไรในอนาคตไม่ใช่เรื่องของท่านใช่หรือไม่  เห็นทีว่าหน่วยงานหลายๆหน่วยคงจะสูญพันธุ์กันไปบ้าง  เราต้องการอาจารย์อายุน้อยๆเพื่อเป็นบุคลากรรุ่นใหม่  รองรับการทำงานในอนาคต  ที่นับวันจะมีแต่อาจารย์อาวุโสเกษียณไปอย่างต่อเนื่อง  ในข้อนี้เห็นได้ว่าขัดแย้งกับแนวคิดในการพัฒนามหาวิทยาลัยไทยให้ติดอันดับทัดเทียมกับประเทศข้างเคียง  แต่หากคนไทยที่มีระดับความรู้ขนาดนี้ เป็นถึงอาจารย์  ยังยึดติดผลประโยชน์ส่วนตน  ไม่มีจิตสำนึกสาธารณะ  จะปฏิรูปการศึกษาไปอีกกี่ครั้งก็ไม่มีวันสำเร็จ  ถ้าไม่ปฏิรูปคนเสียก่อน
3.ปัจจุบันนี้มีเกณฑ์ต่างๆเกิดขึ้นมามากมายเพื่อควบคุมคุณภาพการศึกษา  อาจารย์ต้องร่วมมือกันเตรียมเอกสารเพื่อพร้อมรับการตรวจประกันคุณภาพการศึกษาปีละ 2 ครั้ง  ทั้งจากภายในและภายนอก  รวมถึงการออกนอกระบบ  พนักงานมหาวิทยาลัยมีสถานภาพทีไม่ชัดเจน  ทำงานหนักเพราะมีการประเมินงานกันทุกปี  ผู้อาวุโสบางคนไม่ทำงานเอกสารเหล่านี้และไม่สนใจ  โยนให้ผู้อ่อนอาวุโสทำหมด  เพราะคิดว่าตัวเองใกล้เกษียณแล้ว  ถึงต่ออายุก็ไม่ทำงาน  คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถไม่มีแรงจูงใจในการมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตำแหน่งอาจารย์  แทนที่จะขยายอายุให้ผู้สูงอายุ  ควรนำงบประมาณมาสร้างกำลังในอนาคตมากกว่า  ในอัตรารายได้ของผู้เกษียณส่วนใหญ่  สามารถจ้างอาจารย์รุ่นใหม่ๆได้ 2-3 คน ควรจัดงบประมาณให้เป็นสวัสดิการ  ทุนการศึกษา ฯลฯ  เนื่องจากการสร้างคนต้องใช้งบประมาณและเวลา  ส่วนอาจารย์อาวุโสที่เพียบพร้อมด้วยความรู้และประสบการณ์  ก็มีทางออกโดยการจ้างเป็นรายปี  หรือเชิญมาสอนเป็นอาจารย์พิเศษรายวิชา  หรืออีกรูปแบบที่น่าสนใจ  คือมหาวิทยาลัยจัดตั้งสถาบันประเภท "คลังสมอง"ของมหาวิทยาลัย  โดยทำเป็นทำเนียบอาจารย์เกษียณฯที่มีความรู้ด้านต่างๆ  เชิญท่านเป็นวิทยากรเผยแพร่ความรู้  เป็นที่ปรึกษาในการทำวิจัยของบุคลากรหรือนักศึกษาระดับต่างๆ  เป็นreaderอ่านผลงาน  และพิจารณางานวิจัย ฯลฯอีกมากมาย  ทางออกลักษณะนี้น่าจะไม่ก่อให้เกิดความกดดันกับทุกๆฝ่าย  ไม่ต้องฟ้องร้องเป็นความกับหน่วยงานหรือบุคคลใด  ผู้เกษียณฯยังคงได้รับบำนาญหรือบำเหน็จ บวกกับค่าตอบแทนจากการทำงานเป็น"คลังสมอง"ของ
มหาวิทยาลัย  และสามารถทำงานวิชาการอิสสระได้อีก  นอกเสียจากท่านจะเสียดายเงินเดือนที่เคยได้มากกว่าจะยอมเสียสละเพื่อหน่วยงานที่ท่านอาศัยหาเลี้ยงชีพมาจนถึงอายุ 60 ปี
jinni    1 เมษายน 2553 22:15:26    IP: 202.44.135.xxx
    ลิงค์     |     สมาชิกเครือข่าย     |     RSS feed     |     คำถามที่พบบ่อย            

เกี่ยวกับ

กฏหมายและระเบียบ

หนังสือเวียน

ข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ

ศูนย์ความรู้

ประชาสัมพันธ์

W3C   Facebook Facebook สำนักงาน ก.พ.ร.   PMQA Channel  ฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ  ipv6 ready  www.info.go.th  การปฏิเสธความรับผิดชอบ |  Webmail| Intranet สำหรับข้าราชการ | ผังเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ 

Slocan

สงวนลิขสิทธิ์โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

59/1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร. 02 356 9999 โทรสาร 02 281 7882 สายด่วน 1785 e-mail: administrator@opdc.go.th