มติคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2549
ที่เกี่ยวข้องกับสำนักงาน ก.พ.ร.
การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 22 สิงหาคม
2549 ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2
ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังใหม่ ทำเนียบรัฐบาล
ได้พิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของสำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน 2 เรื่อง
ดังนี้
เรื่องที่ 7
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ.2549 ไปพลางก่อน |
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงบประมาณ
สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเรื่องหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข
การใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2549
ไปพลางก่อน ดังนี้
ตามที่พระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้ง
ทั่วไป พ.ศ.2549 ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่
อันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป
ในวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2549
มีผลทำให้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2550
ประกาศใช้
บังคับไม่ทันในวันที่ 1 ตุลาคม 2549
อันเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2550
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 179
บัญญัติให้ใช้กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณก่อนนั้นไปพลางก่อน
และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 มาตรา 16
บัญญัติให้ใช้งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ
ที่ล่วงแล้วไปพลางก่อนได้
ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกำหนดโดยอนุมัตินายกรัฐมนตรี
นั้น
สำนักงบประมาณจึงได้เสนอ
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2549
ไปพลางก่อน โดยมีหลักการและสาระสำคัญ ดังนี้
1.
ข้อบัญญัติแห่งกฎหมายที่อนุญาตให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่ล่วงแล้วไปพลางก่อนนั้น เป็น
มาตราการชั่วคราวให้รัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณรายจ่าย เพื่อให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนและประเทศชาติ
ได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2549 ไปพลางก่อนจึงต้องเคร่งครัด
ในหลักการ
แต่ควรผ่อนคลายและยืดหยุ่นได้ในกรณีที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
2.
การใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ไปพลางก่อนนั้น
จำนวนเงินงบประมาณรายจ่าย
ที่จะนำมาใช้จ่าย
ต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนงบประมาณ และรายการตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณ
พ.ศ. 2549
และค่าใช้จ่ายในการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนและประเทศชาตินั้น ต้องเป็นไปตามจำเป็น
และเหมาะสม รวมทั้งสอดคล้องกับระยะเวลา
ตั้งแต่วันเริ่มต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2550
จนถึงวันประกาศใช้บังคับพระราช
บัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2550
3.
เนื่องจากระยะเวลาและขั้นตอนในการจัดทำ และอนุมัติพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550
ตามปฏิทินงบประมาณ ซึ่งคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 25
กรกฎาคม 2549 คาดว่าจะใช้ระยะเวลา
ไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยประมาณการว่าจะประกาศใช้บังคับได้ในเดือนมีนาคม 2550 นั้น ค่อนข้างเร่งรัด โดยเฉพาะใน
ขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติของรัฐสภามีเวลาประมาณ 70 วัน
(ตามกฎหมายกำหนดให้เสร็จภายใน 125 วัน)
ซึ่งการ
พิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา)
มีความเป็นอิสระ และสามารถใช้เวลาตามที่กำหนดไว้
ในกฎหมายอย่างเต็มที่
และในทางปฏิบัติอาจจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนดไว้ในปฏิทินงบประมาณรวมทั้งปฏิทิน
งบประมาณดังกล่าว ยังมิได้รวมขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ
และอาจมีเหตุการณ์กรณีใดกรณีหนึ่ง
ซึ่งทำให้การจัดทำและอนุมัติ
งบประมาณไม่แล้วเสร็จทันตามระยะเวลาที่กำหนด
ดังนั้น
เพื่อความยืดหยุ่นและคล่องตัวพอสมควร
จึงเห็นควรกำหนดสัดส่วนวงเงินเผื่อไว้ (โดยกรอบของกฎหมาย
สามารถกำหนดสัดส่วนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้ตามความจำเป็น) เพื่อใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณ
รายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ.2549 ไปพลางก่อนได้อย่างไม่ขาดตอน และไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
สังคมประชาชน
และประเทศชาติ
โดยกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่จะนำมาใช้จ่าย
ในสัดส่วนของวงเงินงบประมาณตามพระราช
บัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2549 ดังนี้
(1) งบประมาณรายจ่ายสำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา
จัดสรรงบประมาณ
ได้ไม่เกินสามในสี่ของงบประมาณรายจ่ายในแต่ละแผนงบประมาณ
(2)
งบประมาณรายจ่ายงบกลาง
และงบประมาณรายจ่ายเพื่อเป็นกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนจัดสรร
งบประมาณได้ไม่เกินสามในสี่ของงบประมาณรายจ่ายในแต่ละรายการ
(3)
ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หรือที่มีการรวม การโอน
หรือการยุบหน่วยงานและมีบทบัญญัติ
ของกฎหมายให้โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 เช่น การจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นใหม่ เป็นต้น
จัดสรรงบประมาณได้ไม่เกินจำนวนเงินงบประมาณรายจ่ายในแต่ละแผนงบประมาณที่ได้รับโอนในปีงบประมาณ
พ.ศ. 2549
4.
เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารราชการแผ่นดินมิให้เกิดความเสียหายแก่ ระบบเศรษฐกิจ
สังคม ประเทศชาติ
และอำนวยความสะดวกในการให้บริการสาธารณะแก่ ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง
ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา มีความจำเป็นต้องจ่ายเงิน หรือก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้
ตามข้อ 3
เห็นควรกำหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นเฉพาะในกรณี
ดังต่อไปนี้
(1) มีข้อผูกพันตามสัญญา
(2)
ต้องดำเนินการตามข้อตกลงที่รัฐบาลทำไว้กับต่างประเทศ
สถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ
(3)
มีความจำเป็นและเร่งด่วน
ซึ่งหากไม่ดำเนินการจะเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
5.
เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550
มีผลใช้บังคับแล้วเห็นควรกำหนด
เงื่อนไขในการหักงบประมาณรายจ่าย ที่ได้ใช้จ่ายไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณ
พ.ศ. 2549 ไปพลางก่อน
โดยให้สามารถหักงบประมาณรายจ่ายในแต่ละรายการและแผนงบประมาณ
ทั้งที่เป็น
รายการและแผนงบประมาณเดิม
หรือรายการและแผนงบประมาณที่มีการปรับปรุงขึ้นใหม่
ตามนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่
ที่แถลงต่อรัฐสภา
หรือตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และแผนปฏิบัติราชการ ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2550
6.
เพื่อให้การบริหารงบประมาณไปพลางก่อนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
เห็นควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณ
กำหนดวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณ
และการหักงบประมาณรายจ่ายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขฯ
ได้ตาม
ความจำเป็น
เรื่องที่ 11
การจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร |
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร
เป็นหน่วยงานในสำนักงาน
ปลัดกระทรวง
หรือกรมอื่นในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ