สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดการบรรยายเพื่อให้ความรู้กับข้าราชการภายในสำนักงาน ในหัวข้อ สรุปสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 สำนักงาน ก.พ.ร. โดยมีวิทยากรบรรยาย ได้แก่ คุณชยพล ถาวรทนต์ ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญภาครัฐ ซึ่งมี ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม เป็นประธานอนุกรรมาธิการ ภายใต้คณะกรรมาธิการวิสัยมัญเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและประชาสัมพันธ์ ซึ่งมี ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการ
คุณชยพล ถาวรทนต์ กล่าวถึง ร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ว่า ได้ผ่านการแปรญัตติ และผ่านความเห็นชอบของสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2550 และในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 จะเป็นวันออกเสียงประชามติของประชาชน ว่าเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยขอให้ประชาชนไปร่วมกันใช้สิทธิในการออกเสียงประชามติดังกล่าว
ทั้งนี้ หากร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวผ่านประชามติ คาดว่าต้นเดือนกันยายนก็น่าจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญได้ ซึ่งนับว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 ของประเทศไทย แต่หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2549 ได้กำหนดไว้ว่า ให้ คมช. และรัฐบาลหารือกัน เพื่อนำรัฐธรรมนูญปีใดก็ได้ที่เหมาะสมมาแก้ไข และประกาศใช้ภายใน 30 วัน
สำหรับ สาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 นั้น ได้ดำเนินการใน 4 แนวทาง ได้แก่
1. การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่
เพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้กว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพ และมีมาตรการคุ้มครองอย่างชัดเจน รวมทั้งทำให้แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐมีความชัดเจนและผูกพันรัฐมากกว่าเดิม และปรับปรุงการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนได้รับความคุ้มครอง ขยายสิทธิชุมชน โดยการดำเนินกิจกรรม/โครงการที่อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและชุมชนก่อน การให้ชุมชนมีสิทธฟ้องศาลได้ในกรณีที่มีการละเมินสิทธิของชุมชน การลดจำนวนประชาชนในการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย และการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น
2. การลดการผูกขาดอำนาจรัฐ และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
แต่เดิมนั้น รัฐหรือฝ่ายบริหารมีอำนาจมากเกินไป การตรวจสอบฝ่ายบริหารเป็นไปได้ยาก และมีการเข้าไปแทรกแซงการทำงานของระบบข้าราชการประจำ เช่น การแต่งตั้งโยคย้าย เลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ ดังนั้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงพยายามลดการแทรกแซงข้าราชการลง และให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเป็นไปได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น จึงเป็นการเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ประชาชน จำกัดการผูกขาดและการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรรม รวมทั้งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นอิสระจากการครอบงำของพรรคการเมือง เพื่อทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนประชาชนได้อย่างเต็มที่ โดยกำหนดให้ ส.ส. มีอิสระจากมติพรรคการเมืองในการตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย และการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นอกจากนี้ยังให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ปลอดจากอิทธิพลของพรรคการเมืองอย่างแท้จริง และห้าม ส.ส. และ ส.ว. แทรกแซงข้าราชการประจำ
3. การทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรมและจริยธรรม
โดยการเพิ่มหมวด คุณธรรม จริยธรรม ขึ้น ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งมีการกำหนดไว้ชัดเจนว่า หากมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติในหมวดคุณธรรม จริยธรรม จะถือว่าเป็นความผิด ซึ่งหากเป็นข้าราชการก็จะเป็นความผิดทางวินัย หากเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีที่ร้ายแรงก็สามารถถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ การกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมือง โดยกำหนดให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของบริษัท ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งครอบคลุมถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย
นอกจากนี้ยังกำหนดให้การแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส.ส. และ ส.ว. ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จะต้องเปิดเผยให้แก่สาธารณชนทราบ เช่นเดียวกับของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
4. การทำให้ระบบตรวจสอบมีความเข้มแข็ง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบให้มีความเข้มแข็ง ไม่ถูกแทรกแซง และมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น อาทิ ปรับปรุงระบบการสรรหาองค์กรตรวจสอบเพื่อให้มีความอิสระ และเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์กร การจัดให้มีระบบการตรวจสอบการทำงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการปรับปรุงอำนาจหน้าที่และระบบการทำงานขององค์กรตรวจสอบให้ดียิ่งขึ้น เช่น ให้ ส.ส. สามารถเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้ง่ายขึ้น โดยใช้เสียงเพียง 1 ใน 5 และรัฐมนตรี 1 ใน 6 หรือเมื่อครบ 2 ปี เป็นต้น
สาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในด้านต่าง ๆ
ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 มีการเขียนเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไว้ ค่อนข้างเหมือนสัญญาประชาคม คือ เป็นสัญญาที่รัฐต้องปฏิบัติต่อประชาชน ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงเป็นเสมือนสัญญาระหว่างประชาชนกับรัฐ โดยที่รัฐบอกว่าจะทำอะไรให้กับประชาชนในด้านต่าง ๆ
ดังนั้น การเขียนรัฐธรรมนูญในเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐจึงมีความรัดกุมมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้รัฐบาลหลีกเลี่ยงการปฏิบัติ หรือผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน โดยสาระสำคัญในหมวดต่าง ๆ ที่น่าสนใจ มีดังนี้
|
สาระทางเศรษฐกิจของรัฐธรรมนูญ |
การสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง มีมาตราเขียนไว้ชัดว่ารัฐจะต้องสนับสนุนการปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวสามารถทำให้ประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน เป็นไปตามปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การสนับสนุนประชาชนในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินและผืนน้ำ มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าประชาชนมีบทบาท มีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากรในพื้นที่และท้องถิ่นของตนเอง ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การทำสัญญาการค้าและการลงทุนกับต่างประเทศ เช่น ในมาตรา 190 เป็นเรื่องของการทำสัญญาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งมีนัยสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ สัญญา FTA ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ จะต้องมีการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลของสัญญานั้น ๆ ด้วย อีกทั้งต้องมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสัญญา อย่างเป็นธรรม
การจัดให้มีการออมเพื่อใช้ในยามชรา เนื่องจากปัจจุบันประชาชนมีอายุยืนยาวขึ้น ประกอบกับการมี บุตรน้อยลง ซึ่งจะทำให้สังคมเกิดภาวะที่มีคนวัยทำงานมีจำนวนน้อยลง และมีภาระที่จะต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุ ดังนั้น จึงต้องมีการจัดให้มีการออม เพื่อเป็นหลักประกันไว้ใช้ในยามชรา ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
บทบาททางด้านการศึกษา สาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ต่อภาครัฐ ในเรื่องการศึกษา มีการกำหนดไว้ชัดเจนว่าการศึกษาในช่วง 12 ปี (ป.1 - ม.6) ไม่ต้องเก็บค่าใช้จ่าย และดูแลผู้ยากไร้ให้ได้รับการศึกษาอย่างทัดเทียมกัน ในเรื่องสาธารณสุขก็พยายามกำหนดมาตรฐาน คุณภาพ และบริการ ให้ทัดเทียมและทั่วถึง
การสร้างความโปร่งใสและวินัยทางการคลัง นับว่าเป็นมิติใหม่ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งมีการกำหนดหมวดที่ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณขึ้น เพื่อป้องกันการใช้จ่ายงบประมาณให้รัดกุม มีรายละเอียดที่ชัดเจน และมีการดำเนินการและการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงภาษีให้มีความเป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่น เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม มีการกำหนดว่าฐานการผลิตอยู่ที่ใด ก็ให้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ที่นั้น ซึ่งจะเป็นธรรมต่อคนในพื้นที่/ท้องถิ่นมากขึ้น จากเดิมที่มีการจัดเก็บ ณ ที่ทำการสำนักงานใหญ่ โดยได้จ่ายคืนให้กับโรงงานผลิตที่อยู่ในท้องถิ่น
การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยเฉพาะทางด้านการคลัง มีการจัดให้มีกฎหมายรายได้ท้องถิ่นขึ้น เพื่อพิจารณาว่ารายได้ประเภทใดควรจะให้ท้องถิ่นเป็นผู้เก็บเอง เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถดูแลตัวเองได้ และอยู่ได้อย่างยั่งยืนทางการคลัง
การจัดให้มีสาธารณูปโภคที่จำเป็น แต่ไม่ให้เอกชนผูกขาด เนื่องจากต้องการให้เกิดการแข่งขัน เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ในฐานะผู้ใช้บริการ
โครงข่ายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รัฐถือน้อยว่า 51% ไม่ได้ เช่น สายส่งกระแสไฟฟ้า ท่อแก๊ส รางรถไฟ ฯลฯ เนื่องจากมีลักษณะเป็นการผูกขาดโดยธรรมชาติ ดังนั้น รัฐต้องถือหุ้นมากกว่า 51% เพื่อดำรงความเป็นเจ้าของในโครงข่ายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง ๆ เหล่านี้
การคุ้มครองเกษตรในการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร ต้องทำให้เกษตรกรได้ผลตอบแทนสูงสุดเท่าที่จะทำได้ และส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรให้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ต้องสนับสนุนเพิ่มเติมในเรื่องการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
ให้มีองค์กรอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวคือ ต้องมีตัวแทนเป็นปากเป็นเสียงให้ผู้บริโภค และกำหนดไว้ชัดเจนในบทเฉพาะกาลว่า ต้องจัดตั้งองค์กรดังกล่าวภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนด
ในหมวดสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีจุดเด่นและสาระสำคัญ ดังนี้
ได้สิทธิเสรีภาพตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ
ประชาชนสามารถฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้
การลดจำนวนผู้เข้าชื่อในการให้ประชาชนเข้ามาแสดงพลัง หรือ ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) โดยประชาชน 10,000 ชื่อสามารถขอเสนอกฎหมาย หรือ 20,000 ชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. (จากเดิม 50,000 ชื่อ) และ 50,000 ชื่อเพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การแทรกแซงสื่อเป็นการไม่ชอบ และห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อทุกชนิด เพื่อให้สื่อมีอิสระมากขึ้น
มีการช่วยเหลือผู้ยากไร้ คนชรา ผู้ไร้ที่อยู่
แรงงานด้านความปลอดภัยและสวัสดิภาพในการทำงาน รวมทั้งการครองชีพเมื่อไม่ทำงาน กล่าวคือ ดูแลสวัสดิภาพทั้งในเวลาทำงาน และนอกเวลาทำงาน
สิทธิผู้ยากไร้ ผู้พิการ หรือทุพพลภาพในการศึกษา โดยจัดการศึกษาอย่างทัดเทียม
สิทธิ เด็ก สตรี คนพิการ มีการเพิ่มมากขึ้น คนพิการต้องได้รับการดูแล และป้องกันการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลต่าง ๆ
สิทธิชุมชนในสิ่งแวดล้อมของตน รับรองความเป็นนิติบุคคลของชุมชน และสามารถฟ้องร้องได้เมื่อมีปัญหา หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ
ให้ความคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงร่างกฎหมาย และการให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมือง
การทำสัญญากับต่างประเทศและการเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการทำสัญญา
ให้ความคุ้มครองการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล
|
การมีส่วนร่วมของประชาชนในรัฐธรรมนูญ |
ประชาชนมีส่วนร่วมในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
การมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกด้าน
การดำเนินงานภาครัฐในด้านข้อมูลของรัฐ การเข้าชื่อ การทำสัญญากับต่างประเทศ (ประชาชนต้องรู้รายละเอียดก่อน)
การลงประชามติ ทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น หากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของชุมชนหรือทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถขอความเห็นหรือขอให้ประชาชนมาลงประชามติในเรื่องต่าง ๆ ได้
การเสนอกฎหมาย
การถอดถอนนักการเมือง ประชาชนสามารถยื่นชื่อเพื่อขอถอดถอนนักการเมืองได้ ทั้งนักการเมืองระดับชาติ และการนักการเมืองระดับท้องถิ่น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ประชาชนมีอำนาจฟ้องรัฐ และหากยังไม่มีกฎหมายตามรัฐธรรมนูญกำหนด ก็สามารถขอศาลได้
รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลือประชาชน ในการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ให้ออกกฎหมายเพื่อตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง เพื่อให้ประชาชนสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ และมีการแสดงความคิดเห็นในเรื่องนโยบายสาธาณะในด้านต่าง ๆ ได้ รวมไปถึงการเสนอให้มีการจัดตั้งสภาพัฒนาการเมืองควบคู่กันไป
|
จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ |
มาตรฐานจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ ต้องถูกจัดทำขึ้น บังคับใช้ และมีบทลงโทษ
การฝ่าฝืนเป็นความผิดทางวินัย
กรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่าฝืน ผู้ตรวจการแผ่นดินรายงานต่อรัฐสภาพ คณะรัฐมนตรี หรือสภาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง
ความผิดร้ายแรงให้ส่งเรื่องให้ ปปช. และถือเป็นเหตุให้ถูกถอดถอนได้
การแต่งตั้ง โยกย้าย ปรับเงินเดือน จะต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรม และคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลดังกล่าว
|
หลักการสำคัญที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น |
จัดให้ระบบบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น จัดความสัมพันธ์ ความรับผิดชอบให้ชัดเจน ตามมาตรา 78 อนุ(2)
กระจายอำนาจมากขึ้น รวมทั้งดูแลให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนา เท่าเทียมกันทั่วประเทศ ตามมาตรา 78 อนุ (3)
หลักการปกครองตนเอง เป็นหลักของท้องถิ่น ที่รัฐจะกำกับเพียงเท่าที่จำเป็น ในการคุ้มครองประโยชน์ของคนในท้องถิ่น หรือ ประโยชน์ส่วนรวม
ระบบการคลังท้องถิ่น ต้องสนองตอบบริการท้องถิ่นได้ครบถ้วน มีการปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ เพื่อให้เพียงพอกับการบริการประชาชน โดยให้มีกฎหมายรายได้ท้องถิ่น ตามมาตรา 283 วรรค 4
ปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีความเข้มแข็งทั้งการบริหารและการคลัง และร่วมกันปฏิบัติงานได้ (จัดตั้งองค์การได้) สำหรับกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจนั้น เนื่องจากปัจจุบันมีกฎหมายนี้อยู่แล้ว จึงกำหนดเป็นหลักการที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจไว้ให้มีการดำเนินการต่อไป เพื่อให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง และเพิ่มการตรวจสอบเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ตามมาตรา 283
เพิ่มเติมให้ชัดเจนขึ้น ให้มีการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษได้ ซึ่งมีโครงสร้างการบริหารที่แตกต่างไปจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบปกติ ตามมาตรา 284
จำนวนชื่อในการถอดถอน ตามมาตรา 285 และการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น ตามมาตรา 286 เดิมกำหนจำนวนผู้เข้าชื่อในรัฐธรรมนูญ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ต้องการให้มีผลในทางปฏิบัติจริง จึงให้ไปเขียนไว้ในกฎหมาย เพื่อให้สามารถปรับให้แตกต่างกันตามขนาดและจำนวนประชากร ในแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นอกจากนี้ คุณชยพล ยังได้บรรยายถึงลักษณะเด่นอื่น ๆ ของร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 รวมทั้งการเปรียบเทียบระหว่างร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 กับรัฐธรรมนูญปี 2540 อาทิ เรื่องสถาบันการเมือง การตรวจสอบนักการเมือง องค์กรอิสระและตุลาการ การเพิ่มอำนาจและบทบาทขององค์กรอิสระและศาล |
ผชช.สมบัติ เป็นตัวแทน มอบของที่ระลึุกให้กับวิทยากร
|
วสุนธรา (สลธ.) / รายงาน