สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่ 17 ก.ค. 50
ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร.
การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2550 ซึ่งมี พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 2 ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังใหม่ ทำเนียบรัฐบาล ได้พิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน 2 เรื่อง ดังนี้
สังคม
เรื่อง การกำหนดกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และกลุ่มงานด้านวิชาการไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ |
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการกำหนดกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และกลุ่มงานด้านวิชาการ ไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ตามข้อเสนอของ สำนักงาน ก.พ.ร. ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้แจ้งเวียนให้ทุกส่วนราชการทราบ และถือปฏิบัติเพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกันต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2550 แล้วมีความเห็นโดยสรุป ดังนี้
1. การกำหนดส่วนราชการภายในของกรม ว่าจะมีส่วนราชการใดบ้างนั้น ได้มีการบัญญัติไว้ในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เป็นการแบ่งส่วนราชการทั่วไปนั้นว่า กรมอาจแบ่งส่วนราชการเป็น (1) สำนักงานเลขานุการกรม (2) กอง หรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบกอง และยังได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นการแบ่งส่วนราชการทั่วไปนั้น ไว้สองกรณี คือ กรณีแรกตามมาตรา 31(2) ได้บัญญัติให้กรมใดไม่มีความจำเป็นจะแบ่งส่วนราชการเป็นกอง จะไม่แยกส่วนราชการตั้งขึ้นเป็นกองก็ได้ และกรณีที่สองตามมาตรา 31 วรรคสอง ได้บัญญัติให้กรมใดที่มีความจำเป็น จะแบ่งส่วนราชการโดยให้มีส่วนราชการอื่นนอกจากสำนักงานเลขานุการกรมหรือกองก็ได้ ฉะนั้น การที่กรมใดมีเหตุผลเป็นพิเศษที่จำเป็นต้องกำหนดส่วนราชการเป็นกลุ่มงานที่มิได้มีฐานะเป็นกอง โดยเป็นส่วนราชการอื่นตามมาตรา 31 วรรคสอง และมีขอบเขตอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะ จึงสามารถกระทำได้ ทั้งนี้ การพิจารณาจัดตั้งเป็นส่วนราชการอื่น ไม่ว่าในรูปแบบกลุ่มงานหรือรูปแบบอื่นใด จึงต้องมีข้อพิจารณาว่า ต้องมีสภาพเป็นส่วนราชการต่างหาก จากกองโดยมีการปฏิบัติงานเป็นการถาวรและดำเนินการอย่างต่อเนื่องในงานประจำของกรมมิใช่เป็นการกำหนดขึ้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว หรือตามโครงการ หรือเป็นงานส่วนหนึ่ง หรือเกี่ยวข้องกับกองใดกองหนึ่งที่มีอยู่แล้วในกรมนั้น เพราะมิใช่เป็นภารกิจที่มีลักษณะจัดตั้งเป็นส่วนราชการขึ้นโดยเฉพาะได้
2. การกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร หากเป็นการจัดส่วนราชการขึ้น เพื่อมีหน้าที่สนับสนุนการบริหารราชการให้มีประสิทธิภาพ โดยเป็นการปฏิบัติงานที่ต้องสอดคล้องกับนโยบายและมาตรฐานของหน่วยงานกลางอื่น ซึ่งได้แก่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กระทรวงการคลัง หรือคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
ซึ่งภารกิจของกลุ่มงานทั้งสองกลุ่มงานไม่อาจจัดอยู่ในส่วนราชการใดในกรม และมีความจำเป็นต้องจัดตั้งเป็นส่วนราชการโดยเฉพาะ เพื่อให้มีขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ที่ชัดเจน รวมทั้งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารราชการที่จะให้มีส่วนราชการนี้ในทุกกรม ก็สามารถกำหนดกลุ่มงานทั้งสองกลุ่มงานตามมาตรา 31 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และสามารถกำหนดส่วนราชการนั้นไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของแต่กรมได้
3. ส่วนกลุ่มงานด้านวิชาการนั้น หากกรมใดมีความจำเป็นต้องแบ่งส่วนราชการ เพื่อรองรับการปฏิบัติหน้าที่ตามภาระหน้าที่หลักของกรมในรูปแบบกลุ่มงาน ซึ่งต้องการความเป็นอิสระในทางวิชาการมากกว่าการบริหารในรูปแบบการบังคับบัญชา ตามโครงสร้างการบริหารงานรูปแบบกอง และกำหนดให้เป็นส่วนราชการตามมาตรา 31 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ก็สามารถกำหนดกลุ่มงานด้านวิชาการไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกรมนั้นได้
4. มีข้อสังเกตว่า การจัดส่วนราชการอื่นเป็นกลุ่มงาน ควรจะพิจารณาตามความจำเป็น โดยมีเหตุผลเป็นพิเศษตามภารกิจที่มีลักษณะเฉพาะของกรมบางแห่ง แต่โดยทั่วไปแล้วการจัดส่วนราชการภายในกรมควรจะกำหนดให้เป็นกอง เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีความชัดเจนแน่นอน ซึ่งหากรูปแบบโครงสร้างการบริหารงานของกองในปัจจุบันไม่เหมาะสมกับภาระหน้าที่ของรัฐที่มีความหลากหลาย ก็สมควรปรับปรุงโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับภารกิจที่มีความแตกต่างกันได้ ซึ่ง ก.พ.ร. ควรกำหนดหลักเกณฑ์การจัดโครงสร้างภายในกรมให้ชัดเจน
กฎหมาย
เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ ของส่วนราชการสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. . และร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ ของส่วนราชการ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. . รวม 2 ฉบับ |
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ ของส่วนราชการสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. . และ
ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ ของส่วนราชการกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. . รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
กระทรวงกลาโหมเสนอว่า สมควรปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงกลาโหม โดยปรับโอนงานและหน่วยงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร และกรมการสรรพกำลังทหาร จากการเป็น หน่วยงานของกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม มาเป็นหน่วยงานในสังกัดของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหมประกอบกับเห็นควรให้มีส่วนราชการที่มีหน้าที่ในงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และงานด้านการระดมสรรพกำลังขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม จึงได้มีการปรับปรุงหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าวที่รับโอนมาจากกองบัญชาการทหารสูงสุดฯ และได้เปลี่ยนชื่อหน่วยงานที่รับโอนมาเป็น สำนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโยลีกลาโหม และ กรมการสรรพกำลังกลาโหม ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม ในด้านการพัฒนาระบบงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และการพัฒนาระบบงานการระดมสรรพกำลัง จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีการวม 2 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 เพิ่มเติมให้กรมการสรรพกำลังกลาโหม และ สำนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม เป็นส่วนราชการ ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงกลาโหม โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด (ร่างมาตรา 3 แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 7 (8) และ (9) ร่างมาตรา 4 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 8 ร่างมาตรา 5 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 15 และร่างมาตรา 6 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 16)
1.2 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ (ร่างมาตรา 7 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 17)
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
2.1 ให้ยกเลิก (14) และ (15) ของมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2539 (ร่างมาตรา 3)
2.2 ให้ยกเลิก (14) และ (15) ของมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2539 (ร่างมาตรา 4)
************************
หมายเหตุ ผลสรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรีนี้ เป็นเพียงการนำเสนอในเชิงข่าวเท่านั้น มิอาจถือเป็นมติของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ จึงขอให้ตรวจสอบมติ หรือขอรายละเอียดเพิ่มเติม จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หมายเลขโทรศัพท์ 0 2280 9000 ต่อ 436 หรือที่ www.cabinet.thaigov.go.th
ข้อมูลจาก http://www.thaigov.go.th
เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 19 กรกฎาคม 2550 10:24:38 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 19 กรกฎาคม 2550 10:24:38