เศรษฐกิจ
เรื่อง
การเร่งรัดการดำเนินการมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2550
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ การเร่งรัดการดำเนินการมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ เพื่อให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติต่อไป
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้กำหนดแนวทางเร่งรัดการดำเนินการสำหรับโครงการ/รายการที่ยังไม่ได้ทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพัน เพื่อให้สามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 ดังนี้
1. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการดำเนินการสำหรับโครงการ/รายการ ที่ยังไม่ได้ทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพัน ให้สามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 กรณีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่สามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันโครงการ/รายการใดได้ทันภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 และเห็นสมควรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ให้พิจารณานำเงินงบประมาณที่ได้จากการปรับแผนฯ ไปดำเนินโครงการ/รายการ ดังนี้
1) ดำเนินการตามสัญญา กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรี เช่น ค่าสาธารณูปโภค ชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การจ่ายค่างานตามปริมาณที่ทำจริงซึ่งสูงกว่าสัญญา โครงการ/รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เป็นต้น
2) ดำเนินโครงการ/รายการ ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่สามารถดำเนินการได้เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้
3) ดำเนินโครงการ/รายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายงบประมาณเกินกว่าที่ได้รับการจัดสรร เช่น ราคากลางหรือผลการประกวดราคาสูงกว่างบประมาณที่ได้รับ เป็นต้น
4) ดำเนินโครงการ/รายการในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน เช่น แก้ปัญหาภัยแล้ง แก้ปัญหาน้ำท่วม การจ้างงานในชนบท เป็นต้น
5) ดำเนินโครงการ/รายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ดำเนินการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ถือเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด
6) ดำเนินโครงการ/รายการที่ทำให้เพิ่มผลิตภาพผลผลิต (Productivity)
ทั้งนี้ โครงการ/รายการที่จะดำเนินการดังกล่าวจะต้องอยู่ในเงื่อนไข ดังนี้
- กรณีที่เป็นรายการเดิมที่ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ซึ่งไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณได้ตามแผนที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ให้ปรับแผนนำงบประมาณที่ใช้จ่ายไม่ทันไปใช้ได้แต่เฉพาะในรายการอื่น ๆ ที่เป็นรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว และสามารถดำเนินการได้เร็วกว่าแผน หรือโครงการ/รายการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ และมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องจ่ายเงินตามสัญญาเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาวินัยทางการคลังและไม่เป็นภาระงบประมาณในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
- กรณีที่เป็นโครงการ/รายการใหม่ จะต้องมีความพร้อมที่จะดำเนินการและสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 และต้องไม่เป็นโครงการ/รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ โดยสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2550
2. สำหรับโครงการ/รายการ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ไม่สามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 หากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจพิจารณาแล้วเห็นว่าจะสามารถทำสัญญา/ ก่อหนี้ผูกพันได้โดยเร็ว และยังไม่ควรปรับแผนฯ ไปดำเนินการโครงการ/รายการอื่น เนื่องจากเป็นโครงการ/รายการที่มี ความจำเป็นเพื่อสนองต่อเป้าหมายการให้บริการของกระทรวง และสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จรวมทั้งเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 เห็นควรให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขยายเวลาดำเนินการได้ โดยจะต้องสามารถทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2550
กรณีที่รัฐมนตรีอนุมัติให้ขยายเวลาดำเนินการดังกล่าว ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจติดตามเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จทันตามกำหนดเวลา พร้อมทั้งประสานกับผู้รับจ้างเพื่อเตรียมการให้สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้โดยเร็ว
3. กรณีโครงการหรือรายการใด ที่ได้ปรับแผนฯ เพื่อนำงบประมาณไปดำเนินการโครงการ/รายการอื่นแล้ว หากโครงการ/รายการเดิม ยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ก็ให้ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเสนอต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ในขั้นการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 และส่งสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ทั้งนี้ การปรับปรุงรายละเอียดดังกล่าวจะต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละกระทรวง โดยคำนึงถึงเป้าหมายการให้บริการของกระทรวงเป็นสำคัญด้วย
อนึ่ง เพื่อให้การดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 โดยให้เตรียมการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้สามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันได้ตั้งแต่เริ่มต้นปีงบประมาณ
4. ให้สำนักงบประมาณติดตามผล และรายงานการปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ให้คณะรัฐมนตรีทราบ ภายในเดือนสิงหาคม 2550
สังคม
เรื่อง
รายงานผลการติดตามงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข
ระดับจังหวัด ในท้องที่จังหวัดพิจิตรและจังหวัดอุทัยธานี ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีรับทราบ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการติดตามงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด ในท้องที่จังหวัดพิจิตรและจังหวัดอุทัยธานี ครั้งที่ 1 สรุปสาระสำคัญของผลการดำเนินงาน ดังนี้
1. สรุปผลการติดตามงาน
1.1 จังหวัดพิจิตร
1.1.1 การประชุมรับฟังข้อมูลและมอบนโยบาย
ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร (นายปรีชา เรืองจันทร์) ได้จัดประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชน จำนวนประมาณ 1,000 คน ณ โรงแรมพิจิตรพลาซ่า ในการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรได้นำเสนอสภาพข้อมูลทั่วไป และยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดพิจิตร ซึ่งเน้นในเรื่องการผลิต แปรรูป และส่งเสริมการค้าข้าว รวมทั้งได้ชี้แจงแนวทางขั้นตอนการดำเนินงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข และเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข จำนวน 73 ล้านบาท ดังนี้
1) จัดสรรให้หมู่บ้าน/ชุมชน ดังนี้
- จัดสรรให้หมู่บ้าน/ชุมชนในเขตเทศบาลเมือง จำนวน 929 หมู่บ้าน ร้อยละ 90
(1) จัดสรรให้เท่ากันทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ร้อยละ 30
(2) จัดสรรตามจำนวนประชากร ร้อยละ 30
(3) จัดสรรให้ตามผลการประเมินผลการยกระดับคุณภาพแผนหมู่บ้าน/ชุมชน ร้อยละ 20
(4) จัดสรรตามจำนวนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท/คน/ปี ร้อยละ 20
- จัดสรรไว้เพื่อสนับสนุนการยกระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ร้อยละ 10
2) การนำเสนอโครงการ จังหวัดพิจิตรได้กำหนดให้หมู่บ้าน/ชุมชน ส่งโครงการภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2550 โดยมีโครงการที่นำเสนอมาแล้ว จำนวน 434 โครงการ จำแนกตามแผนงาน 5 ด้าน ได้ดังนี้ แผนงานด้านเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 115 โครงการ แผนงานพัฒนาและสร้างโอกาสให้ชุมชน จำนวน 14 โครงการ แผนงานการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน จำนวน 43 โครงการ แผนงานการสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ จำนวน 62 โครงการ แผนงานการบริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน จำนวน 200 โครงการ
1.1.2 การตรวจเยี่ยมโครงการนำร่อง
ได้ไปตรวจเยี่ยมโครงการนำร่องชุมชน 2 โครงการ คือ โครงการภูมิปัญญาชาวบ้านของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรสามัคคีโพธิ์ประทับช้าง หมู่ที่ 9 บ้านปากกระช่อง ตำบลโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง และโครงการวิสาหกิจชุมชน หมู่ 5 บ้านสระยายชี ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม ซึ่งมีการนำเสนอการดำเนินงานในลักษณะคณะกรรมการที่มาจากชุมชน ร่วมกันคิดร่วมกันบริหาร และขายผลผลิตเป็นรายได้เข้าสู่ชุมชน
1.2 จังหวัดอุทัยธานี
1.2.1 การประชุมรับฟังข้อมูลและมอบนโยบาย ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี (นายอุดม พัวสกุล) ได้ประชุมหัวหน้า
ส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชน จำนวนประมาณ 800 คน ณ โรงแรมไอยราปาร์ค ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีได้บรรยายสภาพข้อมูลทั่วไป และสภาพปัญหาของจังหวัด คือ การขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และประสบปัญหาภัยแล้งเป็นประจำ รวมทั้งได้ชี้แจงหลักเกณฑ์และการอนุมัติโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข จำนวนเงิน 59 ล้านบาท ดังนี้
1) จัดสรรให้อำเภอเป็นหน่วยดำเนินการตามหลักเกณฑ์ คือ
- ร้อยละ 50 จัดสรรเท่ากันทุกอำเภอ
- ร้อยละ 10 จัดสรรตามสัดส่วนหมู่บ้าน/ชุมชน
- ร้อยละ 15 จัดสรรตามจำนวนประชากร
- ร้อยละ 15 จัดสรรตามจำนวนครัวเรือน
- ร้อยละ 10 จัดสรรตามแบบผกผัน (คิดจากรายได้ประชากรต่อหัว)
2) การอนุมัติโครงการ พิจารณากระจายใน 5 แผนงาน คือ
- แผนงานด้านเศรษฐกิจพอเพียง ร้อยละ 50
- แผนงานพัฒนาและสร้างโอกาสให้ชุมชน ร้อยละ 20
- แผนงานการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน ร้อยละ 10
- แผนงานการสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ ร้อยละ 10
- แผนงานการบริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน ร้อยละ 10
ทั้งนี้ ปัจจุบัน จังหวัดอุทัยธานี ได้ดำเนินการตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์การจัดทำรายละเอียดโครงการและอนุมัติโครงการ โดยเน้นโครงการที่มาจากแผนชุมชน ที่เริ่มจากชาวบ้านร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันวางแผน และร่วมกันรับผิดชอบ
1.2.2 การตรวจเยี่ยมโครงการนำร่อง
ได้ไปเยี่ยมชมโครงการตู้เย็นข้างบ้าน บ้านเพชรผาลาด หมู่ 17 ต.ตลุกดู่ อ.ทัพทัน ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของชุมชนในการทำเกษตรผสมผสาน ได้แก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เพาะเห็ด ปลูกผัก ในลักษณะพอมีพอกินและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน โดยมีผลการดำเนินงานก้าวหน้าเป็นอย่างดี จนมีผู้มาขอดูงานเป็นจำนวนมาก และได้พัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง
2. การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้นโยบายแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข แก่ผู้เข้าร่วมประชุม ณ จังหวัดพิจิตรและอุทัยธานี ดังนี้
2.1 ความสำคัญของนโยบายอยู่ดีมีสุข นโยบายนี้เน้นการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการพึ่งตนเองให้ได้ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยให้ประชาชนระดับชุมชนได้พิจารณากันเองว่า สิ่งที่ตนต้องการคืออะไร หรือการวิเคราะห์ปัญหา เริ่มโดยชุมชน ทำโดยชุมชน รัฐโดยจังหวัดเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งจุดสำคัญที่สุดของชุมชน คือ ครอบครัว ทั้งนี้ นโยบายอยู่ดีมีสุขจะสำเร็จได้อยู่ที่การมีส่วนร่วมของประชาชน โดยขอให้ยึดหลักการ 3 ด้าน คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน การบริหารจัดการที่ดี และต้องมีแผนในการทำงานที่ยั่งยืนและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ขอให้ศึกษาต้นแบบการจัดการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจากศูนย์การเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริทั่วประเทศ
2.2 ลักษณะของแผนงาน 5 ด้าน ดังนี้
1) แผนงานด้านเศรษฐกิจพอเพียง เน้นการเริ่มจากครอบครัวไปสู่ชุมชน
2) แผนงานพัฒนาและสร้างโอกาสให้ชุมชน มี 3 ขั้นตอน คือ
- อุปโภคบริโภคให้พอเพียง
- จะถนอมผลผลิตและแปรรูปผลผลิตอย่างไร
- พัฒนาผลิตภัณฑ์ตามศักยภาพของแต่ละท้องถิ่นเพื่อสู่ตลาดระดับชุมชน
3) แผนงานการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของชุมชน ควรมีการปลูกป่าหัวไร่ปลายนา การจัดการขยะและน้ำเสียชุมชน
4) แผนงานการสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ จะต้องให้ความสำคัญกับผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุในแต่ละพื้นที่
5) แผนงานการบริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และการฝึกอาชีพ
2.3 การติดตามผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรและอุทัยธานี แต่งตั้งคณะกรรมการในระดับต่างๆ เพื่อติดตามแผนงานในแต่ละด้าน และสรุปรายงานผลให้ทราบเป็นระยะ รวมทั้งจะส่งคณะกรรมการส่วนกลางมาสนับสนุนและตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง
2.4 บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนงานตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด
2.4.1 จะส่งคณะทำงานไปประเมินสถานภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด
พิจิตร และอุทัยธานี เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วนต่อไป
2.4.2 จะส่งคณะกรรมการจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าไปสนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัด
2.4.3 ให้หน่วยงานของกระทรวงฯ ที่ตั้งในภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค ศูนย์ทรัพยากรน้ำบาดาลภาค สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ออกไปในพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัด เพื่อให้คำแนะนำและความช่วยเหลือทางวิชาการ ในการบริหารจัดการและการฟื้นฟูด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามลักษณะภูมิประเทศและภูมิสังคมในแต่ละท้องที่ เพื่อสนับสนุนให้ชุมชน จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บริหารจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยตนเองได้
2.4.4 กระทรวงฯ จะดำเนินโครงการที่สนับสนุนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด เช่น โครงการคลองสวย น้ำใส โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โครงการจัดหาน้ำอุปโภคบริโภค เป็นต้น
การศึกษา
เรื่อง
โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
(ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) เป็นประธาน ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และความเห็นของ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป
2. ส่วนงบประมาณในการดำเนินงาน เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปอย่างประหยัด และทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความ
จำเป็นและความเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการประเมินผลการดำเนินโครงการทุกๆ 5 ปี
คณะกรรมการกลั่นกรองฯ ได้อภิปรายว่า โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็นการสร้างฐานกำลังคนที่มีคุณภาพด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในสาขาวิชาที่ขาดแคลน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีระยะเวลาในการดำเนินงานที่นานถึง 14 ปี และใช้วงเงินลงทุนสูง จึงสมควรที่กระทรวงศึกษาธิการจะจัดทำแผนการดำเนินงานโครงการให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และเหมาะสมกับความจำเป็นของสาขาวิชาที่จัดสรรทุนต่อการพัฒนาประเทศ โดยมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนบุคลากรที่ขาดแคลนในสาขาวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ความพร้อมของสถาบันการศึกษาที่จะเข้าร่วมโครงการ จำนวนการผลิตบัณฑิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน การกำหนดเงื่อนไขและข้อผูกพันในการกลับมาชดใช้ทุน การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการกำหนดหน่วยงานรองรับนักศึกษาที่จบจากโครงการฯ การสร้างระบบความก้าวหน้าในวิชาชีพ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลโครงการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินโครงการดังกล่าวมีความคุ้มค่าในการลงทุน และบรรลุวัตถุประสงค์ในการผลิตบุคลาก
เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 28 พฤษภาคม 2550 14:08:14 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 28 พฤษภาคม 2550 14:08:14