เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554 อนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) เฉพาะกิจเกี่ยวกับการยกระดับคุณภาพมาตรฐานและลดขั้นตอนฯ ซึ่งมี นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ นายสุรพล แสวงศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านปกครอง กระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้ง นายยันยงค์ คำบันลือ หัวหน้าคณะทำงานตรวจประเมินรางวัลคุณภาพการให้บริการประชาชน ประจำปี 2554 และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ และ กรมปศุสัตว์
โรงพยาบาลรามาธิบดี นำเสนอผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน ประเภทรางวัลนวัตกรรมการให้บริการในกระบวนงาน แนวทางการรักษาและแบบบันทึกโรคหืดเฉียบพลัน ทางคลินิกรามาธิบดี
(Ramathibodi
Acute Asthma Clinical Practice Guideline and Clinical Record Form)
โดยหน่วยโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ ภาควิชาอายุรศาสตร์
ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดโดยตรง
ได้พัฒนาแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดเฉียบพลันที่ห้องฉุกเฉิน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืด
และนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
สำหรับการรักษาแบบเดิมนั้น
ใช้แนวทางปฏิบัติในการประเมินการให้การรักษาและการจำหน่ายผู้ป่วยตามคู่มือ
การดูแลรักษาโรคหืดฉบับสากล (Global Initiative for Asthma: GINA
guideline) ซึ่งแม้จะได้แปลเป็นภาษาไทยแล้ว
แต่ยังมีรายละเอียดที่ซับซ้อนและยาวเกินไป ทำให้เข้าใจและปฏิบัติได้ยาก
อีกทั้ง ผู้ป่วยมักขาดการนัดหมาย
ทำให้ไม่ได้รับการวางแผนการรักษาควบคุมโรคหืดให้สงบในระยะยาว
ส่งผลให้โรคหืดกำเริบและต้องมารักษาที่ห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง
จากการพัฒนาคุณภาพการให้บริการฯ ทำให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์ ดังนี้
คู่มือมีแนวทางการรักษาฯ อย่างเป็นขั้นตอน ทำให้เข้าใจง่าย
ปฏิบัติได้จริง และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม
รวมทั้งมีมาตรการในการประเมินผล
การจัดทำแบบบันทึกผู้ป่วยที่จับหืดเฉียบพลันทางคลินิก
(Acute Asthma Clinical Record Form) เพื่อนำมาใช้ควบคู่กับ Simplified
Acute Asthma CPG ฉบับใหม่ ทำให้นักศึกษาแพทย์
หรือแพทย์ประจำบ้านสามารถกรอกข้อมูลตามขั้นตอนในแบบบันทึกได้อย่างครบถ้วน
ซึ่งช่วยชี้นำให้ปฏิบัติตาม CPG โดยอัตโนมัติ
นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การรักษาเป็นไปตาม CPG ได้ง่าย
มีการสอนแก่นักศึกษาแพทย์และแพทย์ประจำบ้านทุกกลุ่ม
ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับการจับหืดเฉียบพลัน เนื้อหาและวิธีการใช้ Acute
Asthma CPG ฉบับใหม่ แบบบันทึกทางคลินิก
การตรวจร่างกายในผู้ป่วยที่กำลังจับหืด
วิธีการวัดความเร็วสูงสุดที่เป่าออกมาได้ (Peak Expiratory Flow Rate:
PEFR) และเทคนิคการพ่นยา
มีการติดตามผลของการนำ Simplified acute asthma CPG และ
Acute asthma CRF ไปใช้
โดยมีดัชนีชี้วัดด้านประสิทธิภาพของการนำนวัตกรรมไปใช้
และดัชนีวัดความมั่นใจในการให้การวินิจฉัยโรค การให้การรักษา
และการประเมินผลการรักษา ตลอดจนความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรม
1.การ
ทำบัตรประจำตัวคนพิการ เดิมผู้รับบริการต้องติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง
4 หน่วยงาน โดยใช้ระยะเวลา 1 - 2 วัน ทำให้ผู้ป่วยเกิดความลำบาก
เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ดังนั้น ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ
จึงประสานกับสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ
เพื่อขอให้สถาบันฯ เป็นหน่วยงานรับคำขอมีบัตรประจำตัวผู้พิการได้
ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 25 - 30 นาที
2.การบริการเปลี่ยนประเภทสิทธิบัตรประกันสุขภาพเป็นคนพิการในฐานข้อมูลของ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
เดิมผู้พิการต้องเดินทางไปโรงพยาบาลภูมิลำเนา
เพื่อทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ด้วยตนเอง ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 45
วันทำการ ทางสถาบันฯ จึงประสานกับสำนักงานหลักประกันฯ
ให้ส่งข้อมูลบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อขอเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ฯ ได้ทางโทรสาร
โดยผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาด้วยตนเอง โดยใช้ระยะเวลา 1 - 2 วันทำการ
3.การบริการตรวจสอบและรับรองสิทธิบัตรประกันสุขภาพคนพิการ
เดิมมีขั้นตอนในการขอรับบริการมากถึง 8 ขั้นตอน ใช้ระยะเวลารอคอย 4 ชั่วโมง
และใช้เอกสารประกอบการใช้สิทธิ์ถึง 6 ชุด ทางสถาบันฯ
จึงได้ลดขั้นตอนการรับบริการเหลือ 5 ขั้นตอน
ระยะเวลาการให้บริการรวมระยะเวลารอคอยเหลือเพียง 2 ชั่วโมง
และลดการใช้เอกสารประกอบการใช้สิทธิ์เหลือ 1 ชุด รวมทั้ง สถาบันฯ
ได้เปิดช่องทางพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการ
4.การส่งต่อเครือข่ายทางด้านสวัสดิการสังคม
เดิมผู้ป่วยต้องถือหนังสือที่สถาบันออกให้ไปติดต่อหน่วยงานด้านสวัสดิการ
สังคมต่างๆ ด้วยตนเอง ทำให้ไม่ได้รับความสะดวก
ส่งผลให้ไม่ไปดำเนินการติดต่อ
รวมทั้งยังไม่มั่นใจว่าจะได้รับความช่วยเหลือได้จริง
ทำให้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงจะได้รับ
เมื่อประเมินปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้ปรับปรุงการให้บริการ
โดยประสานงานกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนก่อนให้ผู้ป่วยไปติดต่อกับหน่วย
งานนั้นๆ พร้อมทั้งมีการติดตามผลการดำเนินการอีกด้วย
กรมปศุสัตว์ นำเสนอผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนใน 2 กระบวนการ คือประเภทนวัตกรรมการให้บริการในกระบวนงาน การออกใบอนุญาตเคลื่อนย้ายสัตว์ ซากสัตว์ (e-signature)/ย้ายสัตว์ง่ายแค่ปลายนิ้ว ของสำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์
และประเภทภาพรวมกระบวนงานในกระบวนงาน
การให้บริการงานด้านสุขภาพสัตว์แบบบูรณาการ ของสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ
กระบวนงาน การออกใบอนุญาตเคลื่อนย้ายสัตว์ ซากสัตว์
(e-signature)/ย้ายสัตว์ง่ายแค่ปลายนิ้ว
เป็นการพัฒนากระบวนการขอและออกใบอนุญาตฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
โดยให้เกษตรกร ผู้ประกอบการที่ผ่านการรับรองมาตรฐานฟาร์มจากกรมปศุสัตว์
หรือผ่านการตรวจรับรองมาตรฐานฟาร์ม
และการผลิตปศุสัตว์จากสถาบันตรวจสอบที่นานาชาติให้การยอมรับ
สามารถยื่นคำขอใบอนุญาตผ่านทางอินเตอร์เน็ตบนเว็บไซต์ของกรมปศุสัตว์
(www.dld.go.th/ict/eservice)
และสามารถพิมพ์ใบอนุญาตที่ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์แล้ว
ได้ด้วยตนเอง
การให้บริการแบบเดิมนั้น เกษตรกร
ผู้ประกอบการต้องเดินทางมาสำนักงานปศุสัตว์
เพื่อยื่นแบบคำขออนุญาตและรับใบอนุญาตด้วยตนเอง ทำให้ไม่ได้รับความสะดวก
และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้
ยังต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบสัตว์ ต้นทางก่อนการเคลื่อนย้ายทุกครั้ง
หากมีผู้มายื่นขออนุญาตจำนวนมากจะต้องรอคิวเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์เป็นเวลานาน
เนื่องจากจำนวน เจ้าหน้าที่ฯ ในพื้นที่จำกัด
ส่งผลให้การตรวจสอบต้นทางไม่ทั่วถึงและไม่เข้มงวด
รวมทั้งเกิดความล่าช้าในการออกใบอนุญาตและการเคลื่อนย้าย
และถึงแม้ว่าเกษตรกร
ผู้ประกอบการจะได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์มจากกรมปศุสัตว์แล้ว
ก็ยังต้องถูกตรวจสอบอีกครั้ง
ทำให้เกษตรกรหลายรายไม่มีแรงจูงใจในการปรับปรุงฟาร์มให้ได้มาตรฐาน
และก่อให้เกิดการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์ ซากสัตว์อยู่เสมอ
จากการพัฒนากระบวนงานการออกใบอนุญาตฯ ทำให้ได้รับประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
ผู้ขอรับบริการที่ได้รับอนุญาตและการรับรองมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์แล้ว
สามารถดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเคลื่อนย้ายฯ
ได้ด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ของกรมปศุสัตว์ จากนั้น เจ้าหน้าที่ฯ
จะตรวจสอบ พิจารณาคำขอ และแจ้งคำอนุมัติผ่านระบบไปยังผู้ขอรับบริการ
โดยผู้ขอรับบริการสามารถพิมพ์ใบอนุญาตได้ด้วยตนเอง ทำให้สะดวก รวดเร็ว
ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
และเป็นการประหยัดงบประมาณในการจัดพิมพ์คำขออนุญาต และใบอนุญาตเคลื่อนย้ายฯ
ของกรมปศุสัตว์ รวมทั้งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกร
ผู้ประกอบการรายอื่นที่ยังไม่ได้มาตรฐานไปปรับปรุงฟาร์มให้ได้รับมาตรฐานตาม
ที่กรมปศุสัตว์กำหนด
ส่งผลต่อระบบการควบคุมและการพัฒนาสุขสัตว์ของประเทศดีขึ้น
และลดปัญหาการเกิดโรคระบาดสัตว์
เป็นการลดภาระการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์
เนื่องจากการลดขั้นตอนกระบวนงานการตรวจสอบสัตว์ต้นทาง
ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถให้บริการงานด้านอื่นๆ แก่เกษตรกร
ผู้ประกอบการรายอื่นได้มากขึ้น
ทำให้กรมปศุสัตว์มีข้อมูลการเคลื่อนย้ายสัตว์
ซากสัตว์ที่ถูกต้อง แม่นยำยิ่งขึ้น
จึงสามารถนำไปวางแผนและดำเนินการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่ารวมทั้ง
ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศและสามารถบริหาร
จัดการเวลาที่จะทำการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ได้ล่วงหน้า
สำหรับ กระบวนงานการให้บริการงานด้านสุขภาพสัตว์แบบบูรณาการ
เป็นการบูรณาการงานให้บริการด้านสุขภาพสัตว์ ได้แก่ งานชันสูตรโรคสัตว์
งานตรวจสุขภาพสัตว์ งานทดสอบโรคสัตว์ และการให้คำปรึกษา
พร้อมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคของสัตว์แก่เกษตรกร
โดยเปิดให้บริการทั้งที่สำนักงาน และจัดทีมสัตวแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการ
เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลแบบเดิมเป็นระบบบันทึกในสมุดบันทึกและไม่เป็น
ระบบเดียวกันระหว่างสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการ
สัตวแพทย์ (ศวพ.) ทั้ง 7 แห่งทั่วประเทศ
ทำให้เสียเวลาและเกิดความผิดพลาดได้สูง
การนำข้อมูลไปประมวลผลประกอบการวิเคราะห์สภาวะโรคต่างๆ ทำได้ยาก
ไม่มีกำหนดระยะเวลาการตอบรายงานผลการทดสอบโรคในห้องปฏิบัติการที่ชัดเจน
ทำให้ล่าช้า ไม่ทันสถานการณ์
ประกอบกับห้องปฏิบัติการยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศ ดังนั้น
จึงได้มีการบูรณาการงานให้บริการเพื่อสร้างความเป็นมาตรฐานการให้บริการ
ดังนี้
พัฒนาโปรแกรมระบบฐานข้อมูลสุขภาพสัตว์ทางห้องปฏิบัติการ
Animal Health Information Program: AHIP
ให้มีความเชื่อมโยงกันระหว่างห้องรับตัวอย่าง ห้องปฏิบัติการ
และห้องกลุ่มระบาดวิทยาทั่วประเทศ ทำให้การเก็บข้อมูลได้มาตรฐาน
สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ ส่งผลให้สามารถลดระยะเวลาการให้บริการได้
ดังนี้ ระยะเวลารับตัวอย่างจาก 30 นาที/ราย เป็น 14 นาที/ราย
ระยะเวลาตอบผลและส่งให้เกษตรกร จาก 5 วัน เป็น 1 วัน และงานชันสูตร จาก 21
วัน เป็น 10 วัน ซึ่งเป็นข้อมูลเฉลี่ยจากศูนย์ทุกแห่ง
สร้างมาตรฐานวิธีการตรวจวินิจฉัยชันสูตรโรคสัตว์
โดยผ่านการรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025: 2005
ซึ่งเป็นระบบวินิจฉัยชันสูตรโรคสัตว์ที่องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ
(World Organization for Animal Health: OIE) ให้การยอมรับ
ทำให้การตรวจวิเคราะห์ วินิจฉัย และชันสูตรโรคสัตว์เป็นไปตามหลักวิชาการ
เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพตามหลักมาตรฐานสากล
จัดตั้งทีมสัตวแพทย์บริการเคลื่อนที่
โดยมีนายสัตวแพทย์ทางกลุ่มระบาดวิทยาและกลุ่มทางปฏิบัติการออกพื้นที่ช่วย
เหลือเกษตรกร ทำให้แก้ปัญหาเร่งด่วนได้ทันท่วงที
จัดตั้งเครือข่ายด้านวิชาการสุขภาพสัตว์
โดยถ่ายทอดความรู้ด้านการจัดเก็บและส่งตัวอย่างให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ
ทำให้เกษตรกรสามารถรวบรวมตัวอย่างส่งผ่านทางเครือข่ายฯ
ของจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาส่งด้วยตนเอง