Logo of OPDC ก.พ.ร. FAQ สำหรับการค้นหา  |  ภาษาไทย   |   English   |   Mobile   |   Help   |  

หน้าหลัก หน้าหลัก | ติดต่อ | ผังเว็บไซต์ |  หน้าหลัก
Share แชร์ พิมพ์หน้านี้
ข่าวเด่น ก.พ.ร. / ปี 2554 / พฤศจิกายน / รายงานผลการวิจัย Doing Business 2012 อันดับน่าลงทุนไทยขึ้นอันดับ 17

รายงานผลการวิจัย Doing Business 2012 อันดับน่าลงทุนไทยขึ้นอันดับ 17

รายงานผลการวิจัย Doing Business 2012

อันดับน่าลงทุนไทยขึ้นอันดับ 17



alt

           เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2554 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ร่วมกับธนาคารโลก จัดการ ประชุมผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ จากกรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา มายังธนาคารโลกประจำประเทศไทย เพื่อรับฟังการนำเสนอรายงานผลการวิจัยประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบ ธุรกิจ ประจำปี 2555 (Doing Business 2012) ซึ่งเป็นการรายงานล่วงหน้า 1 ปี (เป็นการเก็บ ข้อมูลระหว่างเดือน มิถุนายน 2553 มิถุนายน 2554) โดยมีนายนีล เคร็กกอรี่ หัวหน้าเจ้าหน้าที่กลยุทธ์กลุ่มตัวชี้วัดและวิเคราะห์โลก แผนกการพัฒนาภาคการเงินและภาคเอกชน บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) และนางมิกิโกะ โอลลิสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาภาคเอกชน โครงการ Doing Business Project แผนกพัฒนาภาคการเงินและภาคเอกชน บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) เป็นผู้รายงาน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมซักถามรายละเอียดและประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ
alt      
       ซึ่งผลการวิจัยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสะดวกใน การเข้าไปประกอบธุรกิจ อันดับที่ 17 จาก 183 ประเทศทั่วโลก ซึ่งขยับสูงขึ้นจากปี 2554 ที่อยู่ในอันดับ 19 จาก 183 ประเทศ และยังคงรักษาในการเป็น 20 ลำดับแรกของประเทศที่น่าลงทุน โดยประเทศสิงคโปร์ยังครองแชมป์อันดับที่ 1 เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ฮ่องกงอยู่ในอันดับที่ 2 เช่นเดียวกับประเทศเกาหลีที่ขยับขึ้นจากอันดับที่ 16 มาอยู่ที่อันดับที่ 8 และมาเลเซียก็ได้ขยับขึ้นจากอันดับที่ 21 มาอยู่อันดับที่ 18 ส่วนญี่ปุ่นอันดับลดลงจาก 18 มาอยู่ในอันดับที่ 20 และจีนหล่นไปอยู่ที่อันดับ 91 จาก 79 โดยตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีคู่แข่งเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็สามารถที่จะดำเนินการพัฒนาจนประสบความสำเร็จได้รับการจัดอันดับที่ดี ขึ้นอย่างต่อเนี่อง


alt
 
            ดร. ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวว่า อันดับของประเทศไทยที่เลื่อนขึ้นมา เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาใน 3 ด้านได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ที่มีอันดับดีขึ้นจากอันดับที่ 98 มาอยู่อันดับที่ 78 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับที่ 72 มาอยู่อันดับที่ 67 และด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง จากอันดับที่ 25 มาอยู่อันดับที่ 24 ซึ่งผลการปรับปรุงสำคัญที่มีผลต่อaltอันดับ ของประเทศไทย ส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร และสำนักงานประกันสังคม ที่ร่วมกันดำเนินโครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลการเริ่มต้นธุรกิจ สู่หน่วยงานพันธมิตร (e-Starting Business) โดยปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนนิติบุคคล การขอเลขประจำตัว ผู้เสียภาษีอากร และเลขที่บัญชีนายจ้างให้สามารถดำเนินการได้ ณ จุดเดียว (Single Point) ณ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พร้อมทั้งพัฒนาไปสู่การใช้แบบฟอร์มร่วมกัน (Single Form) และการใช้เอกสารประกอบชุดเดียวกัน (Single Document) ซึ่งมีผลให้การจดทะเบียนธุรกิจสะดวกขึ้นและรวดเร็วขึ้น อีกส่วนหนึ่งมาจากกระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการขอสินเชื่อเพื่อเพิ่มโอกาสในกู้ยืมให้กับผู้ขอ สินเชื่อและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ให้สินเชื่อมากขึ้น ซึ่งการปรับปรุงทั้ง 2 เรื่อง มีผลทำให้อันดับในด้านการเริ่มต้นธุรกิจและด้านการได้รับสินเชื่อดีขึ้น อย่างมาก

      ธนาคารโลกได้รายงานว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น เป็นผลมาจากหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านเริ่มต้น ธุรกิจและด้านการได้รับการสินเชื่อ ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข กฎหมาย กฎ ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการ ดำเนินการลดขั้นตอนและระยะเวลาในการปฏิบัติงาน เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชน / ผู้ประกอบการได้อย่างมีประสาพและรวดเร็วขึ้น เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าว


 
alt

            สำหรับ รายงานการจัดอันดับความยากง่าย หรือความสะดวกในการประกอบธุรกิจที่จัดทำขึ้นในปีที่ผ่านมา มีดัชนีชี้วัด 9 ด้าน ประกอบด้วย การเริ่มต้นธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุน การชำระภาษี การค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง และการปิดกิจการ แต่ในปีนี้ ธนาคารโลกได้เพิ่มตัวชี้วัด 1 ตัวชี้วัด ได้แก่ ด้านการขอใช้ไฟฟ้า (Getting Electricity) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่แยกออกจากตัวชี้วัดด้านการขออนุญาตก่อสร้าง อีกทั้ง ในด้านการปิดกิจการธนาคารโลกได้เปลี่ยนชื่อเป็นด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารโลกให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น ทำให้มีตัวชี้วัดในปี 2012 เป็น 10 ด้าน

            ธนาคาร โลกได้รายงานว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น เป็นผลมาจากหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านเริ่มต้น ธุรกิจและด้านการได้รับการสินเชื่อ ที่ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข กฎหมาย กฎ ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการ ดำเนินการลดขั้นตอนและระยะเวลาในการปฏิบัติงาน เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชน / ผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น

      ดร. ทศพร กล่าวว่า มีหลายตัวชี้วัดที่ประเทศไทยทำได้ดีโดยเฉพาะด้านการเริ่มต้นธุรกิจ (Starting a Business) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น เนื่องจากการลดขั้นตอนจาก 7 ขั้นตอน เหลือ 5 ขั้นตอน แต่ยังมีตัวชี้วัดหลายตัว เช่น ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน (Registering Property) และด้านการชำระภาษี (Paying Taxes) ที่ต้องมีการปรับปรุง ส่วนตัวชี้วัดใหม่ที่ทางธนาคารโลกได้นำมาเป็นตัวชี้วัดใหม่ได้แก่ การขอใช้ไฟฟ้า (Getting electricity) ของประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 ซึ่งถือว่าอยู่ในอันดับที่ดี และเป้าหมายในอนาคตนั้นต้องอาศัยข้อมูลของธนาคารโลกที่จะทำให้เห็นได้ว่า ประเทศใดเป็นประเทศที่ดีที่สุดในแต่ละด้าน เช่น ในด้านการเริ่มต้นธุรกิจนั้น ประเทศนิวชีแลนด์เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้นจึงต้องไปศึกษาดูว่าระบบของประเทศนิวซีแลนด์นั้นทำอย่างไร เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงกระบวนการที่เรียกว่า Benchmarking และการก้าวต่อไปนั้น ประเทศไทยเราต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เป็นการง่ายต่อการประกอบธุรกิจ alt

     ด้านนางแอนเน็ต ดิกสัน ผู้ อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ผลการวิจัยประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) เราดูเรื่องบรรยากาศการลงทุน เรื่องของน้ำท่วมไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนต่อกฎระเบียบต่าง ๆ แม้อุทกภัยมีผลต่อเศรษฐกิจจริงอยู่ แต่ว่าจะไม่สะท้อนเข้ามาในการจัดอันดับแต่อย่างใด
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงว่า หลังจากนี้ธนาคารโลกแห่งประเทศไทย จะได้จัดประชุมร่วมกับส่วนราชการ เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องของตัวชี้วัดให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อการจัดอันดับต่อไป

         ทั้งนี้รายงานการวัดผลเรื่องความยาก-ง่ายหรือความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ธนาคารโลกได้มีการตีพิมพ์และเผยแพร่ไปทั่วโลก โดยมีผู้ประกอบการธุรกิจเป็นจำนวนมากที่นำรายงานดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการ ตัดสินใจเพื่อเข้าไปประกอบธุรกิจในประเทศต่าง ๆ และผลของการมีอันดับที่ดีนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการให้บริการ ของหน่วยงานภาครัฐที่พยายามปรับปรุงบริการให้สะดวกขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนแล้ว ยังมีผลต่อการดึงดูดให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้มีการจ้างงานมากขึ้น ประชาชนมีรายได้ และส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย ดีขึ้น

             หากท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงาน Doing Business สามารถอ่านได้ที่
www.doingbusiness.org



 วสุนธรา & ภัทรพร (สลธ.)/รายงาน
กลุ่มสื่อสาร ฯ /จัดทำ
นวลจันทร์ (สลธ.)/ข้อมูล
 นนทญา (สลธ)/ภาพ

 

 


เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2554 10:37:32 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2554 10:44:13
ข่าวเด่น ก.พ.ร.
    ลิงค์     |     สมาชิกเครือข่าย     |     RSS feed     |     คำถามที่พบบ่อย            

เกี่ยวกับ

กฏหมายและระเบียบ

หนังสือเวียน

ข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ

ศูนย์ความรู้

ประชาสัมพันธ์

W3C   Facebook Facebook สำนักงาน ก.พ.ร.   PMQA Channel  ฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ  ipv6 ready  www.info.go.th  การปฏิเสธความรับผิดชอบ |  Webmail| Intranet สำหรับข้าราชการ | ผังเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ 

Slocan

สงวนลิขสิทธิ์โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

59/1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร. 02 356 9999 โทรสาร 02 281 7882 สายด่วน 1785 e-mail: administrator@opdc.go.th