สัมมนาเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายฯ กลุ่มที่ 3
การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบมีส่วนร่วม
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2554 สำนักงาน ก.พ.ร.จัดประชุมสัมมนาเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายการพัฒนาระบบราชการ เรื่อง การยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการภาครัฐ โดย
ในช่วงเช้ามีการแบ่งกลุ่มเพื่อนำผู้เข้าร่วมสัมมนาซึ่งได้แก่
หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหารระดับกระทรวงและกรม
ไปศึกษาดูงานหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่มีการบริหารจัดการที่ดี สำหรับกลุ่มที่ 3 ได้ไปศึกษาดูงานการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ณ โรงงานอายิโนะโมะโต๊ะ
การดูงานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้แทนในภาคส่วนต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมจังหวัด เทศบาล ตำบลบางกะดี
บริษัทสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด บริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด
และชุมชนบางกะดี
มาร่วมบอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในรูปแบบของ โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมสถานประกอบการอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของสามภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
นายประทวน สุทธิอำนวยเดช อุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี
กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมฯ ว่า
โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่มีประชาชนร้องเรียนมายังภาครัฐ ในเรี่อง
การปล่อยน้ำเสีย เขม่าควัน มลพิษต่างๆ ที่เกิดจากโรงงาน
การดำเนินงานของภาครัฐก็คือสั่งให้โรงงานปรับปรุงแก้ไข
แต่ระยะแรกประชาชนยังไม่ค่อยเข้าใจถึงขั้นตอนของการแก้ปัญหา
ทำให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความไม่เข้าใจกันและมีการร้องเรียนกันอยู่เรื่อยๆ
แม้จะมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ร้องว่า
มีการสั่งการแก้ไขแล้วก็ตามแต่ข่าวสารที่ได้ก็ไม่ทั่วถึง
จึงต้องมีการนำเอาปัญหาต่างๆ มาคุยกัน
โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาภายใต้ชื่อ
โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมสถานประกอบการอุตสาหกรรม
โดยได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (ชุมชนทั้ง 17
ชุมชน) เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน ศึกษามูลเหตุที่มาของปัญหา
พร้อมกับหาหนทางและแนวทางการแก้ไขพัฒนา
นายธวัชชัย อึ้งอัมพรวิไล นายกเทศมนตรีตำบลบางกะดี กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เริ่มขึ้นในปี 2550 เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง เทศบาลบางกะดี อุตสาหกรรมจังหวัด
โรงงานอุตสาหกรรมและคนในชุมชน
มีการทำข้อตกลงในการดำเนินการด้านธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการตรวจสอบ
พร้อมประเมินโรงงานทุกปี ว่าได้เข้ากับหลักธรรมา ภิบาลสิ่งแวดล้อมหรือไม่
และยังมีการมอบเกียรติบัตรให้กับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ
เป็นการสร้างจิตสำนักให้สถานประกอบการรู้จักรับผิดชอบ
นอกจากนี้นายกเทศมนตรีตำบลบางกะดียังกล่าวเพิ่มเติมถึงการจัดตั้งกองทุน CSR
(Corporate Social Responsibility) ว่า
เทศบาลตำบลบางกะดีได้ร่วมมือกับสถานประกอบการในพื้นที่
จัดตั้งกองทุนภายใต้ชื่อ กองทุน CSR สถานประกอบการในตำบลบางกะดี
โดยมีโรงงานในสวนอุตสาหกรรมบางกะดีจำนวน 44
โรงงานและโรงงานรอบนอกสวนอุตสาหกรรมบางกะดีแต่อยู่ในเขตเขตพื้นที่ตำบลบาง
กะดีอีก 15 โรงงานเข้าร่วม
มีการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระในการบริหารเงินกอง
ทุนว่าจะนำไปใช้อย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด โดยการจัดตั้งกองทุนฯ
ดังกล่าวได้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) โดยมีนายปรีชา บุตรศรี
ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี มาเป็นสักขีพยานในการลงนามด้วย
คุณสุจินต์ วาสสนิท ผู้จัดการอาวุโส บริษัทสวนอุตสาหกรรมบางกะดี กล่าวว่า
โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมฯ ทุกๆ ฝ่ายได้ช่วยกันออกแบบจนตกผลึกเป็นกรอบ
7 หลัก คือ 1. ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร 2.
ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา 3. ความโปร่งใส 4. ความรับผิดชอบต่อสังคม
5. นิติธรรม 6. ความยุติธรรม 7. ความยั่งยืน
ซึ่งแต่เดิมนั้นเมื่อดำเนินโครงการฯ
สวนอุตสาหกรรมบางกะดีจะได้รับคำถามจากโรงงานตลอดว่า
โรงงานได้รับการรับรมาตรฐานจาก ISO ซึ่งเป็นระดับสากลแล้ว
ทำไมจึงต้องทำตามเกณฑ์ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอีก
ซึ่งสิ่งที่ต้องชี้แจงทำความเข้าใจก็คือ
แม้ว่าโรงงานจะได้รับมาตรฐานสากลแล้ว
แต่หากประชาชนในท้องที่ที่ตั้งอยู่ยังเกิดความคลางแคลงใจในเรื่องของการควบ
คุมมลภาวะ ก็คงไม่สามารถประกอบกิจการได้อย่างสบายใจ
เพราะยังกังวลว่าจะเกิดการร้องเรียนหรือไม่
สิ่งที่โรงงานจะได้จากโครงการธรรมภิบาลสิ่งแวดล้อมฯ ก็คือ
ประชาชนในพื้นที่เชื่อมันว่า โรงงานประกอบกิจการแล้วไม่ก่อมลพิษ
ประชาชนเองก็ได้รับทราบ
เพราะประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเข้าถึงข้อมูล
ในการเข้ามาดูการประกอบกิจการของโรงงาน
สวนอุตสากรรมบางกะดีเองก็มีการเปิดเผยข้อมูล
นอกเหนือจากการปิดประกาศด้านหน้าสวนอุตสาหกรรมฯ แล้ว
ยังเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์ของทางเทศบาล เช่น
ข้อมูลคุณภาพน้ำทิ้งของสวนอุตสาหกรรมฯ นอกจากนี้ยังสร้างบอร์ดไว้ ณ
จุดที่ทิ้งน้ำ เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ามีการควบคุมคุณภาพอย่างไร
ในส่วนของผู้ประกอบการได้รับเกียรติจาก นายทองดี ปาโส ผู้จัดการโรงงานบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด
มาเล่าถึงการดำเนินงานในส่วนของผู้ประกอบการว่า
ในระยะแรกนั้นโรงงานมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งจะใช้ถ่านหินซับ
บิทูมินัสแทนน้ำมันเตา
ซึ่งได้มีการศึกษาผลกระทบเบื้องต้นด้วยตัวเองที่เรียกว่า Initial
Environmental Examination: IEE แต่เกิดปัญหาการต่อต้านจากคนในชุมชน
เพราะเมื่อพูดถึงถ่านหินในประเทศไทยคนไทยส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงถ่านหินลิกไนต์
ดังนั้นจึงต้องมีการหันหน้าเข้าหากันและทำความเข้าใจกับมวลชน
เปิดโรงงานให้ชุมชนเข้าไปชมโรงงาน
ในครั้งแรกนั้นยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าใดนัก
จึงต้องให้ทีมงานเข้าไปทำความเข้าใจกับชุมชน
มีการพาไปดูโรงงานที่ใช้ถ่านหินที่สามารถตั้งอยู่ภายในชุมชนได้
แล้วก็กลับมาดูโรงงานอายิโนะโมะโต๊ะอีกครั้ง รวมทั้งการจัดประชุม
ซึ่งมีการประชุมกันทั้งสิ้น 46 ครั้ง ในระยะแรกๆ มักเป็นการต่อว่า
จนกระทั่งในภายหลังชาวบ้านก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีทีมงานไปลงพื้นที่อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
เพื่อรับรู้รับทราบพูดคุยปัญหากับชุมชน
จะเห็นได้ว่าการมีเวทีให้ประชาชนได้พูดนั้นเป็นสิ่งที่ดี ทุกๆ ฝ่ายต้องมี
ความตั้งใจที่จะหันหน้าเข้าหากัน
สร้างความเข้าใจภายในชุมชนเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
นายนิเวศ เผือกผ่อง ประธานคณะกรรมการชุมชนศาลาแดง กล่าวว่า ชุมชนศาลาแดงนั้นอยู่ใกล้กับโรงงานอา
ยิโนะโมะโต๊ะ แต่เดิมผลกระทบมีค่อนข้างมาก มีการร้องเรียนอยู่ตลอด
ภายหลังจึงมีการพูดคุยว่าได้รับความเดือดร้อนอะไรบ้าง ทั้งกลิ่น เสียง
จนสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
โดยปัญหาที่เกิดขึ้นจะแบ่งออกเป็นยอมรับได้หรือยอมรับไม่ได้
ก็ต้องมีการคุยกันกับผู้ประกอบการ
ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะทำให้ทุกภาคส่วนหันมาร่วมมือกัน
อย่างเช่นโรงงานอายิโนะโมะโต๊ะในช่วงที่จะสร้างโรงไฟฟ้า
แค่ได้ยินชื่อคนในชุมชนก็รับไม่ได้แล้ว
ในฐานะผู้นำชุมชนก็ต้องเข้ามาศึกษาพูดคุยกับทางโรงงาน
และไปทำความเข้าใจกับชุมชนอีกครั้งหนึ่ง
จาก
การพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตัวแทนในแต่ละภาคส่วนดังกล่าว
ทำให้เห็นว่านอกเหนือไปจากความร่วมมือของทุกฝ่ายในการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม
แล้ว ปัจจัยที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จคือ
การใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมที่หลากหลายทั้งในแบบทางการ (คณะกรรมการร่วม
การประชุม การเยี่ยมโรงงาน) และไม่เป็นทางการ (การลงพื้นที่เข้าหาชาวบ้าน
ร่วมพูดคุยในบรรยากาศที่เป็นกันเอง) ทำให้การดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว
นอกจากจะส่งผลสำเร็จเป็นรูปธรรมคือ
ปัญหามลพิษได้รับการแก้ไขให้บรรเทาเบาบางลง
ชุมชนท้องถิ่นก็ได้รับการพัฒนามากขึ้นจากเงินภาษีหรือเงินกองทุนที่ได้จาก
สถานประกอบการแล้ว ยังทำให้เกิดเครือข่ายภาคประชาชนที่มีความเข้มแข็ง
กล้าเรียกร้องและออกความเห็นบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง
ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการเกิดความเข้าใจและไว้ใจซึ่งกันและกัน
และด้วยความสำเร็จนี้เองที่ทำให้โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมฯ
ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการ
ดำเนินงานไปทั่วประเทศ
เพื่อให้สถานประกอบการอุตสาหกรรมดำเนินกิจการได้อย่างเข้มแข็งยั่งยืน
สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างเป็นสุข
กลุ่มสื่อสารฯ สลธ. / ข่าว & ภาพ
ผชช.กลิ่นจันทน์ (สำนักนวัตกรรมฯ) & ดารณี (สำนักเผยแพร่ฯ) / ข้อมูล
วสุนธรา & ภัทรพร (สลธ.) / รายงาน
กลุ่มสื่อสาร ฯ / จัดทำ
เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 19 กรกฎาคม 2554 14:06:56 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 19 กรกฎาคม 2554 14:11:42