Logo of OPDC ก.พ.ร. FAQ สำหรับการค้นหา  |  ภาษาไทย   |   English   |   Mobile   |   Help   |  

หน้าหลัก หน้าหลัก | ติดต่อ | ผังเว็บไซต์ |  หน้าหลัก
Share แชร์ พิมพ์หน้านี้
ข่าวเด่น ก.พ.ร. / ปี 2554 / มิถุนายน / สำนักงาน ก.พ.ร. นำกลุ่มพัฒนาระบบบริหารของกระทรวงและม ศึกษาดูงาน การให้บริการดุจญาติ พิทักษราษฎร์ดุจครอบครัว

สำนักงาน ก.พ.ร. นำกลุ่มพัฒนาระบบบริหารของกระทรวงและม ศึกษาดูงาน การให้บริการดุจญาติ พิทักษราษฎร์ดุจครอบครัว

สำนักงาน ก.พ.ร. นำกลุ่มพัฒนาระบบบริหารของกระทรวงและกรม
ศึกษาดูงาน การให้บริการดุจญาติ พิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว



          เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2554 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดการประชุมสัมมนาเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายการพัฒนาระบบราชการ เรื่อง การยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการภาครัฐ โดยนำหัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหารระดับกระทรวงและกรม ไปศึกษาดูงานหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่มีการบริหารจัดการที่ดี โดยแบ่งคณะศึกษาดูงานเป็น 6 กลุ่ม เพื่อศึกษาดูงานการบริหารจัดการที่ดีใน 6 งาน




          หนึ่งในการงานบริหารจัดการที่ดีที่กลุ่มพัฒนาระบบบริหารระดับกระทรวงและกรมได้ไปศึกษาดูงานในครั้งนี้คือ การศึกษาดูงาน การให้บริการดุจญาติ พิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยคณะศึกษาดูงานได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำงานเพื่อปรับบทบาทของข้าราชการตำรวจในการดูแลและพิทักษ์ประชาชน ผ่านการดำเนินงานที่มีความโดดเด่นจนได้รับรางวัลคุณภาพการให้บริการประชาชน จากสำนักงาน ก.พ.ร. ได้แก่

           สถานีตำรวจต้นแบบ : สถานีตำรวจนครบาลบุคคโล 
           การผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 
             ของตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์
           ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริการด้วยใจภายใน 24 นาที
           โครงการรักษ์ตาน้อง : การรักษาโรคตาขี้เกียจในเด็ก ของโรงพยาบาลตำรวจ
    





          การศึกษาดูงาน ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก พล.ต.ท. จิโรจน์ ไชยชิต ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชา และผู้บริหารของหน่วยต่าง ๆ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับ โดยนอกจากจะมีการจัดนิทรรศการเพื่อแนะนำงานทั้ง 4 งานดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการบรรยายสรุป ณ ห้องประชุมซึ่งใช้เป็นศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 


 

          พล.ต.ท. จิโรจน์ ไชยชิต ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวต้อนรับคณะศึกษาดูงาน และกล่าวถึงการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการมาโดยตลอด ซึ่งทำให้ผลการประเมินการปฏิบัติราชการอยู่ในระดับที่ดี นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาและปรับปรุงงานบริการในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งการปรับปรุงสถานีตำรวจทั่วประเทศ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้รับความพึงพอใจจากผู้มาใช้บริการมากขึ้น ซึ่งหลายหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการพัฒนาระบบงานและปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ จนได้รับรางวัลคุณภาพการให้บริการประชาชนจากสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาในด้านต่าง ๆ ต่อไป 

          ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้กล่าวถึงศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมในครั้งนี้ว่า ในเวลา 10.00 น. ของทุกวัน จะมีการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกลกับกองบัญชาการต่าง ๆ ทั่วประเทศ 10 กองบัญชาการ และแต่ละกองบัญชาการจะทำการประชุมทางไกลต่อไปยังจังหวัดทุกจังหวัด ดังนั้น ในเวลาดังกล่าวจะมีการประชุมพร้อมกันทั่วประเทศเพื่ออำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยการในการเลือกตั้ง ซึ่งในการศึกษาดูงานครั้งนี้ก็ได้มีการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกลกับ พล.ต.ต.พิเชษฐ วัฒนลักษณ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วย


          จากนั้นเป็นการบรรยายสรุปถึงการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีความโดดเด่น จนได้รับรางวัลคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยผู้บังคับบัญชาและผู้แทนของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้


   สถานีตำรวจต้นแบบ : สถานีตำรวจนครบาลบุคคโล

          จากนโยบายของรัฐบาลเมื่อปี 2549 ที่จะผลักดันการปฏิรูประบบงานตำรวจ เพื่อให้สถาบันตำรวจได้รับความเชื่อถือ ศรัทธา จากประชาชน จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจขึ้น เพื่อปฏิรูประบบงานของตำรวจให้มีประสิทธิภาพ โดยมี 4 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถานีตำรวจทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ ได้แก่

          1. การปรับปรุงสถานีตำรวจให้สามารถอำนวยความยุติธรรมให้บริการที่ดีแก่ประชาชน
          2. การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
          3. การปรับปรุงระบบงานสอบสวน
          4. การตรวจสอบการปฏิบัติงานของตำรวจ

          สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดแนวทางการปฏิรูป โดยใช้สถานีตำรวจนครบาลบุคคโลเป็นสถานีตำรวจต้นแบบ หรือทดลองเพื่อปรับปรุงระบบงานบริการประชาชนที่สถานีตำรวจ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ตามแผนการปฏิรูปและยุทธศาสตร์การพัฒนาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

           

          หลักสำคัญในการพัฒนา คือ การพัฒนาเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนในสถานีตำรวจให้เกิดความพร้อม ดังนี้

          1. กำหนดแนวคิดและยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยเริ่มจากการพัฒนาสุขภาพใจ ควบคู่กับการพัฒนาสุขภาพกาย การพัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะการให้บริการแนวใหม่ การสร้างและปรับวัฒนธรรมการให้บริการใหม่ให้เกิดขึ้นภายในองค์กร การปรับปรุงสภาวะแวดล้อมของสถานีตำรวจ 

          2. วางแนวทางไปสู่การปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 

                    2.1 ด้านการอำนวยความยุติธรรม โดยการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำงาน ตลอดจนเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามีส่วนร่วม และเข้าถึงในกระบวนการยุติธรรมได้ดีขึ้นกว่าเดิม

                    2.2 ด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยการนำกระบวนทัศน์การป้องกันอาชญากรรมแบบมีส่วนร่วมของชุมชน และการสร้างเครือข่ายประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ มาผสมผสานกับการป้องกันปราบปรามเชิงรุกและการบูรณาการ รวมทั้งการนำเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงาน อาทิ CCTV GPS เป็นต้น

                    2.3 ด้านการอำนวยการจราจร โดยการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเน้นบังคับใช้กฎหมาย ปรับจุดเน้นเป็นกระบวนทัศน์แบบมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาชุมชนร่วมกัน โดยการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการแก้ไขปัญหาจราจร 

                    2.4 ด้านการให้บริการที่ดีแก่ประชาชน ณ สถานีตำรวจต่าง ๆ โดยปรับวิธีคิด วิธีการทำงาน และทัศนคติของตำรวจ ให้มีวัฒนธรรมการให้บริการ และปฏิบัติต่อประชาชนผู้มารับบริการ เสมือนญาติพี่น้องและครอบครัวเดียวกัน โดยยึดมั่นคำขวัญที่เป็นพันธสัญญาประชาคมว่า บริการดุจญาติ พิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว รวมทั้งการนำระบบ One Stop Service หลักการ Service Mind หลักการ Result Based Management การลดขั้นตอนและระยะเวลาในการให้บริการ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริการที่สถานี เพื่อสร้างความพึงพอใจและความประทับใจให้กับประชาชน

          จากการดำเนินการดังกล่าวจะเห็นว่า สถานีตำรวจนครบาลบุคคโลได้พัฒนางานด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และการให้บริการกับประชาชน ปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และทัศนคติของตำรวจ เน้นหลักประสิทธิภาพควบคู่กับหลักธรรมาภิบาล รวมทั้งการนำแนวทางการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเข้ามาพัฒนาระบบงานด้านต่าง ๆ ทำให้เกิดการปรับปรุงและยกระดับคุณภาพการให้บริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการจากตำรวจด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างเสมอภาค ส่งผลให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจต่อการให้บริการของตำรวจ และตำรวจมีภาพลักษณ์ที่ดีในหมู่ประชาชน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวทำให้สถานีตำรวจนครบาลบุคคโลได้รับรางวัลสถานีตำรวจเพื่อประชาชนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึง 3 ปีติดต่อกัน

          และจากความสำเร็จดังกล่าว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงได้กำหนดเป็นนโยบายการปฏิรูประบบงานสถานีตำรวจ ในปี พ.ศ. 2553 โดยจัดทำเป็นโครงการพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อประชาชน ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553 - 2555 โดยให้ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศนำแนวทางการพัฒนาจากการทดลอง ไปดำเนินการพัฒนาระบบบริการสถานีตำรวจให้เกิดผลดีต่อประชาชน โดยวางเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี



   การผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ของตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์

          ความสำคัญของกระบวนการผัดฟ้องและฝากขังได้กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 7 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. 2477 มาตรา 87 ที่ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่าจำเป็นตามแต่ละกรณี อาทิ กรณีจำเป็นที่พนักงานสอบสวนไม่สามารถฟ้องผู้ต้องหาใน 48 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ถูกจับ ผัดฟ้องได้ไม่เกิน 5 คราว หรือ กรณีจำเป็นต้องควบคุมผู้ถูกจับไว้เกิน 48 ชั่วโมง ขอฝากขังผู้ต้องหาได้คราวละไม่เกิน 12 วัน รวมแล้วไม่เกิน 84 วัน เป็นต้น ประกอบกับสภาพปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติงาน โดยตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์มีสถานีตำรวจภูธรในสังกัดจำนวน 15 สถานี ซึ่งบางสถานีอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล ทำให้เกิดความยากลำบากในการเดินทางของพนักงานสอบสวนที่จะต้องไปยื่นคำร้องผัดฟ้องและฝากขังด้วยตนเองที่ศาลจังหวัด เนื่องจากต้องเดินทางไกล และในบางพื้นที่เป็นหุบเขา มีความลาดชัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางระหว่างสถานีตำรวจกับศาลจังหวัดด้วย 

          จากสภาพปัญหาดังกล่าว ตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์จึงได้นำแนวคิดการประสานงานและบูรณาการระหว่างหน่วยงาน มาเป็นแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ โดยการประสานงานและบูรณาการกันระหว่างตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์และศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ และมีการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยในการดำเนินการผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นผู้จัดทำวิธีการปฏิบัติในเรื่องของกฎหมาย และตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นผู้กำหนดวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการผัดฟ้องและฝากขัง โดยได้เลือกโปรแกรม Skype ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันทั้งภาพและเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่เสียค่าบริการ ทำให้พนักงานสอบสวนซึ่งอยู่ที่สถานีตำรวจสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้พิพากษาที่ปฏิบัติงานอยู่ที่ศาลจังหวัด เพื่อดำเนินการผัดฟ้องและฝากขังได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศาล ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ สถานีตำรวจยังไม่เสียกำลังคนในการปฏิบัติหน้าที่เพื่ออำนวยความยุติธรรมและให้บริการกับประชาชนอีกด้วย

          ทั้งนี้ การผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จะใช้ตั้งแต่การผัดฟ้องและฝากขังครั้งที่ 2 เป็นต้นไปจนถึงครั้งที่ 7 เนื่องจากการผัดฟ้องและฝากขังในครั้งแรกนั้น กฎหมายกำหนดให้พนักงานสืบสวนต้องนำตัวผู้ต้องหาเดินทางไปที่ศาลเพื่อยื่นคำร้องผัดฟ้องและฝากขังด้วยตนเอง โดยขั้นตอนในการดำเนินการผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น พนักงานสอบสวนจะต้องพิมพ์คำร้องผัดฟ้อง-ฝากขัง และสแกนคำร้องฯ ส่งไปยังศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ล่วงหน้าก่อนวันครบผัดฟ้อง-ฝากขัง เป็นเวลา 1 วัน โดยส่งคำร้องฯ ทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-COP ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งกำหนดสิทธิให้ศาลสามารถเข้าใช้ระบบดังกล่าวได้ และเมื่อถึงวันครบกำหนดฝากขัง เจ้าหน้าที่ศาลจะพิมพ์คำร้องฯ จากระบบ e-COP และนำไปที่เรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อให้ผู้ต้องซึ่งอยู่ในเรือนจำลงนามรับทราบว่าพนักงานสอบสวนขอผัดฟ้อง-ฝากขังผู้ต้องหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลจะนำคำร้องฯ ดังกล่าวไปให้กับผู้พิพากษา ซึ่งหากผู้พิพากษามีข้อสงสัยในคำร้องฯ ดังกล่าว ก็จะเรียกให้พนักงานสอบสวนมาตอบข้อซักถามโดยผ่านโปรแกรม Skype โดยที่พนักงานสอบสวนไม่ต้องเดินทางไปที่ศาล และเมื่อผู้พิพากษาพิจารณาอนุญาต/ไม่อนุญาตให้ผัดฟ้อง-ฝากขังแล้ว เจ้าหน้าที่ศาลก็จะส่งเอกสารที่ผู้พิพากษาลงนามอนุญาต/ไม่อนุญาตแล้ว กลับไปให้พนักงานสอบสวนโดยผ่านระบบ e-COP

          จากการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการดังกล่าว ส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการด้านการอำนวยความยุติธรรมอย่างเต็มที่ เพราะพนักงานสอบสวนมีเวลาในการปฏิบัติงานมากขึ้นเนื่องจากไม่ต้องเดินทางไปที่ศาล ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียบุคลากรจากอุบัติเหตุในการเดินทางได้อีกด้วย นอกจากนี้ บุคลากรยังได้พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และที่สำคัญคือ สามารถลดค่าใช้จ่ายภาครัฐได้เป็นจำนวนมาก โดยการผัดฟ้องและฝากขังก่อนที่จะมีการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ครั้งละ 9,778 บาท และเมื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการโดยให้มีการผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพียงครั้งละ 102 บาท ซึ่งลดลงถึง 9,676 บาท ทั้งนี้ หากคำนวณจากสถิติการผัดฟ้องและฝากขังในปี 2552 จำนวน 688 ครั้ง จะพบว่า การผัดฟ้องและฝากขังแบบเดิม มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 4,028,706 บาท แต่หากใช้การผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะเสียค่าใช้จ่ายเพียง 70,176 บาท ซึ่งจะสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 3,958,530 บาท

          การผัดฟ้องและฝากขังผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ของตำรวจภูธรจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นตัวอย่างของการลดขั้นตอน ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน ตลอดจนเป็นกบวนงานที่มีความเชื่อมโยงกันหลายส่วนราชการ อันประกอบด้วย ตำรวจ ศาล และราชทัณฑ์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของรัฐบาลในการพัฒนาระบบราชการไทย





   ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริการด้วยใจภายใน 24 นาที

          ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้จัดทำโครงการ DT-24 ซึ่งย่อมากจาก Departure Team 24 Minutes โดยหมายถึง การใส่ใจในการให้บริการผู้โดยสาร โดยความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาออกทุกคน ที่จะทำการตรวจผู้โดยสารนับแต่เข้ามารอคอยในพื้นที่รอรับการตรวจหนังสือเดินทาง จนแล้วเสร็จไม่เกิน 24 นาที 

          จากสภาพปัญหาในการปฏิบัติงานของฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาออก ที่ทำหน้าที่ตรวจหนังสือเดินทางของผู้โดยสารที่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งในบางช่วงเวลามีผู้โดยสารหนาแน่น ประกอบกับข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น กำลังพลของเจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอ พื้นที่จำกัด การกรอกเอกสารไม่เรียบร้อยทำให้ต้องเสียเวลาแก้ไขเพิ่มเติม เที่ยวบินขาออกออกเดินทางในเวลาใกล้ ๆ กัน เป็นต้น ทำให้ผู้โดยสารต้องใช้เวลานานในการรอรับการตรวจหนังสือเดินทาง นอกจากนี้ การที่ผู้โดยสารไม่ทราบระยะเวลาที่แน่นอนว่าจะได้รับการตรวจหนังสือเดินทางเสร็จสิ้นเมื่อใด หรือจะสามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ตามกำหนดเวลาของเที่ยวบินหรือไม่ ส่งผลให้ผู้โดยสารขาดความพึงพอใจต่อการบริการของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเกิดภาพลักษณ์ลักษณ์ที่ไม่ดีต่อหน่วยงาน

          ด้วยเหตุนี้ โครงการ DT-24 จึงเกิดขึ้น โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยมีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่าง ผู้บังคับการกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 และ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2553 และได้มีการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการตรวจหนังสือเดินทางที่แน่นอนชัดเจนให้ผู้โดยสารทราบ และสร้างความร่วมมือร่วมใจของข้าราชการตำรวจในสังกัด ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด และแบ่งการปฏิบัติหน้าที่เป็น 4 ผลัด มีการแบ่งพื้นที่การตรวจหนังสือเดินทาง โดยกำหนดให้ดำเนินการตรวจหนังสือเดินทางให้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 24 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่ได้มีการศึกษาวิเคราะห์แล้วว่า เจ้าหน้าที่สามารถให้บริการได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว

          ในการดำเนินการนั้น ได้มีการทำความเข้าใจกับข้าราชการตำรวจในสังกัด ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาออกฯ ให้ทราบถึงโครงการ DT-24 และปลูกฝังให้เจ้าหน้าที่มีความเข้าใจในการทำงานและมีจิตสำนึกในการปฏิบัติหน้าที่ รวมไปถึงการสร้างแรงจูงใจในการทำงานโดยการประเมินคัดเลือกผู้ปฏิบัติงานดีเด่นให้ไปศึกษาดูงานการตรวจหนังสือเดินทางของประเทศฮ่องกง การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงงานบริการให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาประสิทธิภาพของการตรวจหนังสือเดินทาง ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น แผ่นพับ แผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ การจัดทำเสื้อ T-Shirt ให้เจ้าหน้าที่สวมใส่ทุกวันที่ 24 ของเดือน ตลอดปี 2553 เพื่อรณรงค์โครงการและกระตุ้นจิตสำนึกของเจ้าหน้าที่


          นอกจากการดำเนินการดังกล่าวแล้ว ยังได้มีความพยายามในการลดความคับคั่งของผู้โดยสารด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การแปลบัตร ตม. ขาเข้าและขาออกเป็นภาษาต่าง ๆ 8 ภาษา (ไทย เกาหลี พม่า รัสเซีย อารบิค กัมพูชา จีน ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหลักของไทย เพื่อให้เข้าใจและสามารถกรอกข้อมูลได้อย่างถูกต้อง การประสานขอให้เจ้าหน้าที่ของการท่าอากาศยานซึ่งทำหน้าที่ Airport Ambassador มาช่วยตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นก่อนเข้ารับการตรวจ การจัด ตม.อาสา/นักศึกษาฝึกงานเพื่อช่วยให้คำแนะนำกับผู้โดยสาร การจัด Priority Lane สำหรับ เด็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา และคนพิการ การเหลื่อมเวลาทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อให้มีจำนวนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานมากขึ้นในช่วงที่มีผู้โดยสารหนาแน่น โดยการหาข้อมูลการเดินของผู้โดยสาร ว่าช่วงเวลาใดเป็นช่วงที่มีผู้โดยสารหนาแน่น เพื่อจัดเจ้าหน้าที่เสริมในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งการจัดให้เจ้าหน้าที่มาปฏิบัติงานในวันหยุดโดยมีค่าตอบแทนพิเศษซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการท่าอากาศยาน

          โครงการ DT-24 (Departure Team 24 Minutes) เป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของข้าราชการตำรวจในสังกัด ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่จะพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อก้าวไปสู่การบริการมาตรฐานสากล อันจะส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้โดยสาร และภาพลักษณ์ที่ดีของหน่วยงานและประเทศชาติ ซึ่งจากการประเมินผลการดำเนินโครงการ DT-24 พบว่า ผู้โดยสารมีความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 88.55%



   โครงการรักษ์ตาน้อง : การรักษาโรคตาขี้เกียจในเด็ก ของโรงพยาบาลตำรวจ

          โรคตาขี้เกียจ เป็นโรคที่เกิดจากระบบการมองเห็นของเด็กไม่ได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์ ทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงอย่างถาวร และเนื่องจากโรคดังกล่าวเกิดขึ้นในเด็ก ซึ่งไม่สามารถรู้หรือบอกได้ว่าตนมีอาการตามัว ทำให้ผู้ปกครองไม่ได้นำเด็กไปรับการตรวจวินิจฉัยโรคแต่เนิ่น ๆ ซึ่งกว่าจะรู้ผู้ป่วยก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีอาการมองเห็นไม่ชัด จึงไปพบจักษุแพทย์ แต่ก็สายเกินไปเพราะไม่สามารถช่วยให้กลับมามองเห็นเป็นปกติได้ ทั้ง ๆ ที่โรคดังกล่าวสามารถป้องกันได้ หาไปพบจักษุแพทย์ตั้งแต่เด็กและเข้ารับการรักษาก่อนอายุ 9 ปี ซึ่งจากสถิติพบว่า ประเทศไทยมีผู้เป็นโรคตาขี้เกียจประมาณ 2% ส่งผลให้ประเทศไทยมีประชากรที่ตามัวอย่างถาวรประมาณ 1.3 ล้านคน 

          จากสภาพปัญหาดังกล่าว โรงพยาบาลตำรวจจึงได้จัดทำโครงการ รักษ์ตาน้อง ขึ้น เพื่อป้องกันโรคตาขี้เกียจอย่างยั่งยืน โดยการเปลี่ยนการให้บริการแบบตั้งรับในโรงพยาบาล มาเป็นการให้บริการเชิงรุกสู่โรงเรียนต่าง ๆ และเสริมด้วยการให้ความรู้กับบุคลากรในโรงเรียน คือ คุณครู เพื่อให้สามารถตรวจคัดกรองความสามารถในการมองเห็นของเด็กนักเรียนอย่างถูกต้องด้วยตนเอง โดยทำหน้าที่แทนจักษุแพทย์ในการตรวจคัดกรองเด็กนักเรียน จึงสามารถนำเด็กนักเรียนที่มีความผิดปกติทางสายตาไปเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นำไปสู่การป้องกันโรคตาขี้เกียจให้กับเด็กนักเรียน

          หลักการสำคัญในการดำเนินโครงการรักษ์ตาน้อง นอกจากการเปลี่ยนแนวคิดจากการตั้งรับเป็นการรุกสู่ชุมชนแล้ว หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การทำให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของโครงการ เกิดความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของโครงการ และดำเนินการด้วยตนเอง โดยมีทีมจักษุแพทย์เป็นพี่เลี้ยง ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจทางทฤษฎีและทางปฏิบัติแก่ชุมชน จนชุมชนสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง โดยมีวิธีการดำเนินการใน 8 ขั้นตอน ดังนี้

          1. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน โดยเป้าหมายระยะแรก กำหนดให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งอยู่ จำนวน 8 โรงเรียน (ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึง ประถมปีที่ 1 จำนวนประมาณ 1,535 คน) ปลอดจากโรคตาขี้เกียจ และคุณครูในโรงเรียนทั้ง 8 แห่ง สามารถตรวจโรคตาขี้เกียจได้ด้วยตนเอง แล้วขยายผลไปสู่เป้าหมายในระยะที่ 2 คือ นักเรียนในโรงเรียนนอกพื้นที่ที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งอยู่

          2. เตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อาทิ บุคลากรต้องเข้าใจในความจำเป็นของโครงการ / บุคลากรไม่พอจึงต้องหาบุคคลภายนอกที่มีจิตอาสา / เนื้อหาการอบรมต้องเหมาะสม / อุปกรณ์ในการตรวจที่จะมอบให้โรงเรียนต้องเพียงพอ / งบประมาณจากบุคลากรที่มีจิตอาสา

          3. หาความร่วมมือจากเครือข่ายต่าง ๆ เช่น สำนักงานเขตปทุมวัน โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตำรวจและบุคลาการภายนอกที่มีจิตอาสา โดยการสร้างความเข้าใจกับเครือข่ายนำร่องใน 2 โรงเรียน (โรงเรียนวัดปทุมวนาราม และ โรงเรียนวัดชัยมงคล) เพื่อให้เกิดความมีส่วนร่วมในการปฏิบัติอย่างเต็มใจ

      &

 

 


เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 30 มิถุนายน 2554 13:49:19 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 30 มิถุนายน 2554 13:49:19
ข่าวเด่น ก.พ.ร.
    ลิงค์     |     สมาชิกเครือข่าย     |     RSS feed     |     คำถามที่พบบ่อย            

เกี่ยวกับ

กฏหมายและระเบียบ

หนังสือเวียน

ข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ

ศูนย์ความรู้

ประชาสัมพันธ์

W3C   Facebook Facebook สำนักงาน ก.พ.ร.   PMQA Channel  ฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ  ipv6 ready  www.info.go.th  การปฏิเสธความรับผิดชอบ |  Webmail| Intranet สำหรับข้าราชการ | ผังเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ 

Slocan

สงวนลิขสิทธิ์โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

59/1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร. 02 356 9999 โทรสาร 02 281 7882 สายด่วน 1785 e-mail: administrator@opdc.go.th