คณะเจ้าหน้าที่จากประเทศอินเดียและเนปาล
ศึกษาดูงานการปฏิรูประบบราชการ
เมื่อวันที่
13 กันยายน 2553 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้รับเกียรติจาก คณะเจ้าหน้าที่จากสาธารณรัฐอินเดีย
และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล มาศึกษาดูงานและรับฟังการบรรยายในหัวข้อ Public Sector Reform:
Experiences of OPDC ณ ห้องประชุมฝ่ายบริหาร ชั้น 4
สำนักงาน ก.พ.ร. โดยมี นางกิตติยา
คัมภีร์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการพัฒนาระบบราชการ
ภารกิจการส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นผู้บรรยาย
คณะเจ้าหน้าที่จากประเทศอินเดียและเนปาล
ที่มาศึกษาดูงานการปฏิรูประบบราชการในครั้งนี้ เป็นผู้เข้าร่วมอบรมในหลักสูตร Leadership Development
Program และหลักสูตร
Governance and Anti-Corruption ซึ่งจัดโดย Asian Institute of Technology (AIT) ซึ่ง
เป็นหลักสูตรที่เพิ่มพูนความรู้และเสริมสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน
ของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมหลักสูตร
โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิรูประบบราชการ
เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน
สำหรับผู้ที่มาต้อนรับและบรรยายให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคณะศึกษาดูงานในครั้งนี้
คือ นางกิตติยา
คัมภีร์ ผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะด้านการพัฒนาระบบราชการ
ภารกิจการส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
โดยได้บรรยายถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปฏิรูประบบราชการ
การดำเนินการพัฒนาระบบราชการไทยนับตั้งแต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545
ซึ่งกำหนดกรอบแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่เน้นหลักการบริหารกิจการ
บ้านเมืองที่ดี และการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
นอกจาก
นี้ ผู้เชี่ยวชาญฯ กิตติยา
ยังได้แนะนำให้คณะศึกษาดูงานได้รับทราบถึงบทบาทหน้าที่
และภารกิจของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสำนักงาน ก.พ.ร.
ซึ่งได้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการ อาทิ
การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย
การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการ
การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการ
การลดขั้นตอนและระยะเวลาในการปฏิบัติราชการและพัฒนาคุณภาพการให้บริการ
ประชาชน การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์
วัฒนธรรมและค่านิยมของข้าราชการให้เอื้อต่อการพัฒนาระบบราชการ
การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการต่าง
ๆ ดังกล่าว ส่งผลให้การพัฒนาระบบราชการบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
จนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ดังจะเห็นได้จากผลการจัดอันดับความยากง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจของประเทศ
ต่าง ๆ ทั่วโลก (Doing Business) ที่จัดทำโดยธนาคารโลก (World Bank)
ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี
2005 เป็นต้นมา โดยล่าสุด การจัดอันดับในปี 2010 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่
12 จาก 183 ประเทศ
วสุนธรา
& ภัทรพร ข. (สลธ.) / รายงาน
กลุ่มงานวิเทศสัมพันธ์ สลธ. /
ข้อมูล
เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 17 กันยายน 2553 09:45:29 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 17 กันยายน 2553 09:45:29