Logo of OPDC ก.พ.ร. FAQ สำหรับการค้นหา  |  ภาษาไทย   |   English   |   Mobile   |   Help   |  

หน้าหลัก หน้าหลัก | ติดต่อ | ผังเว็บไซต์ |  หน้าหลัก
Share แชร์ พิมพ์หน้านี้
ข่าวเด่น ก.พ.ร. / ปี 2553 / พฤษภาคม / ไทย ติด Top Ten Doing Business 2011 เป็นจริงได้ หรือแค่ความ ฝัน

ไทย ติด Top Ten Doing Business 2011 เป็นจริงได้ หรือแค่ความ ฝัน

ไทย ติด Top Ten
Doing Business 2011 เป็นจริงได้ หรือแค่ความฝัน



          ก.พ.ร. จับมือ พาณิชย์ คลัง สภาพัฒน์ และธนาคารโลก เร่งยกเครื่องส่วนราชการปรับปรุงบริการ ตั้งเป้าติด 1 ใน 10 ประเทศที่เอื้อทำธุรกิจ

alt


          ใกล้ เข้ามาทุกขณะ สำหรับการรายงานผล การศึกษาเพื่อจัดอันดับความยากง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก (Doing Business) ประจำปี 2011 ของธนาคารโลก (World Bank) ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ ซึ่งประเทศไทยจะยังคงรักษามาตรฐาน และไต่อันดับได้สูงมากขึ้น หรือจะลดน้อยถอยลงอย่างไร  เป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง  ทั้งนี้ การจัดอันดับดังกล่าว จะมีผลดึงดูดให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนเข้ามาลงทุน และประกอบธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การลงทุนขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโต 


          โดย การศึกษาวิจัยนั้น จะเป็นการศึกษา เกี่ยวกับขั้นตอนระยะเวลาการให้บริการ การอำนวยความสะดวก ต้นทุนค่าใช้จ่าย และกฏหมาย กฏ ระเบียบต่างๆ ของรัฐ ว่ามีส่วนสนับสนุน หรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไร โดยมีตัวชี้วัดในการศึกษา 10 ด้าน ได้แก่ การเริ่มต้นธุรกิจ (Starting a Business) การขออนุญาตก่อสร้าง (Dealing with Construction Permits) การจ้างงาน (เดิมด้านการจ้างงานและการเลิกจ้าง) (Employing Workers) การจดทะเบียนทรัพย์สิน (Registering Property) การได้รับสินเชื่อ (Getting Credit) การคุ้มครองผู้ลงทุน (Protecting Investors) การชำระภาษี (Paying Taxes) การค้าระหว่างประเทศ (Trading Across Boarders) การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) และการปิดกิจการ (Closing a Business)

alt          ดัง นั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และสนับสนุนให้มีการปรับปรุงงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารโลก และภาคเอกชน ได้ร่วมจัดการ ประชุมเรื่อง การปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ ขึ้น อันมีเป้าหมายสำคัญเพื่อประเมินผลการดำเนินการของส่วนราชการ และหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านมา และร่วมกันกำหนดแนวทางในการดำเนินการปรับปรุงบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป หวังขยับไทยขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่น่าประกอบธุรกิจที่สุดของโลก ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องประชุมป๋วย อึ๊งภากรณ์ ชั้น 7 อาคารสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา โดยมี นาย ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมมอบนโยบาย 

          นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งสมาคมต่างๆ ได้ร่วมมือ ร่วมใจกันปรับปรุงคุณภาพการให้บริการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้นักลงทุน ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย จนมีผลทำให้การบริการในภาพรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ดังรายงานผลการวิจัยของธนาคารโลก (World Bank) เรื่อง Doing Business ในปีล่าสุดคือ 2010 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไป ประกอบธุรกิจ อันดับที่ 12 จาก 183 ประเทศทั่วโลก ขยับสูงขึ้นจากปี 2009 ที่อยู่ในอันดับ 13 จาก 181 ประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยได้มีการพัฒนา โดยการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี จนมีผลให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก 

alt          นาย ไตรรงค์ยังได้ให้ทัศนะ เพื่อเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การประกอบธุรกิจว่า จะต้องเรียนรู้ปัญหาพื้นฐานของระบบให้ได้เสียก่อน พร้อมได้หยิบยกทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ใน 3 ทฤษฎีมาเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิค (Classical Economics) เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ (Keynesian Economics) และเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิคใหม่ (Neo-Classical Economics) ซึ่งทั้ง 3 ทฤษฎีนี้ เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือประกอบในการตัดสินใจ โดยทฤษฎีดังกล่าวนี้มีความเห็นว่า รัฐบาลควรจะทำเฉพาะในส่วนที่เอกชนทำไม่ได้ และในการดำเนินธุรกิจ ต้องปล่อยให้ภาคเอกชนเป็นผู้จัดการ ตัดสินใจ และดำเนินการลื่นไหล โดยระบุว่าภาคเอกชนจะดำเนินการได้ดีกว่าหากภาครัฐไม่เข้ามาแทรกแซง 

          นาย ไตรรงค์กล่าวต่อไปอีกว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะให้อิสระกับภาคเอกชน แต่รัฐจะไม่เข้าไปยุ่งเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบ้านเมืองยังต้องมีขื่อมีแป คนที่เป็นรัฐย่อมต้องรู้ว่า การจะได้อำนาจรัฐต้องมาด้วยความพึงพอใจของประชาชนซึ่งเรียกว่ารัฐบาล และเครื่องมือของรัฐบาลก็คือระบบราชการ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันนโยบายของรัฐไปสู่ความสำเร็จและสร้างความ พร้อมให้กับประเทศได้ และรัฐบาลบวกกับข้าราชการรวมกันแล้วเรียกว่าอำนาจรัฐ ฉะนั้น ประชาชนก็ยินดีจะมอบอิสระโดยส่วนตัวส่วนหนึ่งให้กับรัฐไปใช้ เพื่อรัฐจะได้ใช้อำนาจส่วนนั้นไปออกกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อจะทำให้บ้านเมืองมีระเบียบ กฎเกณฑ์ และอยู่ร่วมกันอย่างสงบร่มเย็นเกิดสนติสุข และมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมีเป้าหมายในสังคมที่กำหนดไว้

alt          แม้ เอกชนจะมีสิทธิเสรีภาพ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของรัฐ โดยกฎเกณฑ์เหล่านี้ก็เริ่มตั้งแต่ การจะเริ่มต้นทำธุรกิจก็ต้องไปจดทะเบียนกับรัฐ เพื่อให้รัฐรู้ว่าเอกชนทำอะไร และเมื่อทำธุรกิจแล้วก็ต้องมีการขออนุญาตก่อสร้าง การก่อสร้างนั้นก็ต้องมีหลักการทางวิศวกรรม เพื่อไม่ให้ทำแล้วผิดแบบ แล้วมาล้มทีหลัง หรือการจะสร้างโรงงานในพื้นที่นั้นๆ จะเกิดผลกระทบหรือไม่ และเมื่อทำธุรกิจก็ต้องมีการจ้างแรงงาน รัฐก็ต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อช่วยคุ้มครองแรงงาน มีการทำสินเชื่อ การไปขอสินเชื่อ รัฐก็ต้องดูระเบียบแบบแผนต่างๆ เพื่อการควบคุม รวมไปจนถึงเรื่องการชำระภาษี การบังคับตามสัญญา กระทั่งแม้จะเลิกธุรกิจก็ต้องแจ้งให้รัฐทราบเมื่อจะปิดกิจการ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ธนาคารโลกได้นำมาเป็นตัวชี้วัด 10 ข้อ เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย แล้วมีการเปรียบเทียบในแต่ละปี โดยใน 10 ข้อนี้ใครทำได้ดี ก็ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น นายไตรงรงค์กล่าว

          นอก จากนี้ นายไตรรงค์ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันประชุมปรึกษาหารือใน ประเด็น 10 ข้อนี้ ว่าที่ผ่านมามีข้อใดบ้างที่ทำได้ดี และมีข้อใดที่ทำแล้วด้อยลง โดยให้ช่วยกันวิเคราะห์และหาวิธีการในการปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยนายไตรรงค์ระบุว่า การประชุมครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากหากส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐสามารถปรับปรุงและพัฒนาระบบการให้ บริการให้สามารถอำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชนและผู้ประกอบ การได้อย่างแท้จริง แน่นอนอันดับของประเทศไทยก็จะดีขึ้น และท้ายที่สุด ผู้ที่ได้รับประโยชน์นั้นโดยตรงก็คือประชาชนที่มารับบริการจากภาคราชการ


          ใน การประชุมครั้งนี้ นอกจากจะมีผู้บริหารของส่วนราชการ และหน่วยงานภาครัฐแล้ว ยังมีหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วยในฐานะที่เป็นผู้รับ บริการ ผมจึงเห็นว่า ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้ให้บริการ และหน่วยงานภาคเอกชนผู้รับบริการ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะรับไปดำเนินการต่อให้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ต่อไป นายไตรรงค์กล่าว

alt          นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัด กระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังในฐานะเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการได้รับสินเชื่อ การชำระภาษี และพิธีการศุลกากรในการค้าระหว่างประเทศ รู้สึกยินดีที่ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพร่วมกับ สำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารโลก ในการจัดประชุมครั้งนี้ที่กระทรวงการคลัง โดยรายงานการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ซึ่งธนาคารโลกได้จัดทำทุกปี เพื่อจัดอันดับความยากง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจในประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลก ถือเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งช่วยทำให้เราเข้าใจมุมมองของนักลงทุน และปรับปรุงแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ตลอดจนสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี เพื่อสนับสนุนให้มีการลงทุนจากประเทศต่างๆ เพิ่มมากขึ้น นายสถิตย์กล่าว

alt          น.ส.ทัศนีย์ ดุสิตสุทธิรัตน์ รองเลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบ นโยบายจากรองนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบการให้บริการของรัฐ และแนวทางในการพัฒนาและสนับสนุนภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่ง ขันของประเทศ รวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รับทราบผลการดำเนินการ และแนวทางในการปรับปรุงบริการของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ร่วมกันพัฒนาคุณภาพการให้บริการและที่จะร่วมกันดำเนินการต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การประกอบธุรกิจในประเทศ มีความสะดวก รวดเร็ว การลงทุนขยายตัว เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโต ที่สำคัญจะมีผลทำให้อันดับของประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศเพิ่มขึ้น 

alt
          อนึ่ง ในการประชุมครั้งนี้ ยังได้มีการบรรยายเรื่องความสำคัญของรายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business โดย Ms. Annette Dixon ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศ ไทย และการรายงานการดำเนินการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการประกอบธุรกิจ จากหน่วยงานเจ้าภาพหลัก โดยมี นางสุพรรณี ไพรัชเวทย์ ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ และ ผศ.ดร.วิพุธ อ่องสกุล ที่ปรึกษาในโครงการพัฒนาและยกระดับระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาค รัฐ ร่วมรับฟังการรายงานและตอบข้อซักถาม 


alt


          alt


alt          
โดย ผลจากการจัดประชุมครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้หน่วยงานรัฐเกิดความรู้ความเข้า ใจ และสามารถจัดทำรายงาน Doing Business 2011 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานที่เกียวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ล้วนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปรับปรุง และพัฒนาระบบการทำงานของหน่วยงาน ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลแล้ว ไม่เพียงแต่การให้บริการของภาครัฐจะมีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมีผลทำให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในเวทีต่างๆ ของโลกดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. เชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะสามารถรักษาระดับในการเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไป ประกอบธุรกิจและอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศในระดับต้นๆ ของโลกต่อไป


alt
 

กลุ่มสื่อสารฯ สลธ. / ข่าว & ภาพ
วสุนธรา (สลธ.) / จัดทำ

 

 


เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 3 พฤษภาคม 2553 11:15:34 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 3 พฤษภาคม 2553 11:20:14
ข่าวเด่น ก.พ.ร.
    ลิงค์     |     สมาชิกเครือข่าย     |     RSS feed     |     คำถามที่พบบ่อย            

เกี่ยวกับ

กฏหมายและระเบียบ

หนังสือเวียน

ข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ

ศูนย์ความรู้

ประชาสัมพันธ์

W3C   Facebook Facebook สำนักงาน ก.พ.ร.   PMQA Channel  ฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ  ipv6 ready  www.info.go.th  การปฏิเสธความรับผิดชอบ |  Webmail| Intranet สำหรับข้าราชการ | ผังเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ 

Slocan

สงวนลิขสิทธิ์โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

59/1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร. 02 356 9999 โทรสาร 02 281 7882 สายด่วน 1785 e-mail: administrator@opdc.go.th