ก.พ.ร. เปิดเวทีใหญ่ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสู่การปฏิบัติ
ก.พ.ร.
วางรากฐานการบริหารงานแบบบูรณาการ เปิดเวทีใหญ่
สร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน
เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 18 - 19 มกราคม 2553 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสู่การปฏิบัติ
โดยวันที่ 18 มกราคม 2553 เวลา 13.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายก
รัฐมนตรี
ได้เป็นประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
แบบบูรณาการ ซึ่งมีผู้บริหารระดับปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด
รองอธิบดี รองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนจากภาคเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิ
รวมถึงหน่วยงานกลาง ได้แก่
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ.ร. เข้าร่วมประมาณ 550 คน
ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ
ก.พ.ร. ได้กล่าวรายงานถึงที่มาของการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 78(2)
กำหนดให้รัฐต้องดำเนินการสนับสนุนให้จังหวัดมีแผนและงบประมาณเพื่อพัฒนา
จังหวัด เพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่
และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ
พ.ศ. 2551 มีเจตนารมณ์ที่ต้องการเน้นการบริหารงานแบบยึดพื้นที่
โดยใช้แผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด
เป็นเครื่องมือในการพัฒนาให้สอดคล้องกับศักยภาพ โอกาส สภาพปัญหา
ตลอดจนความต้องการของประชาชนในพื้นที่
ซึ่งเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดนั้น
จะต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาครัฐ
รวมถึงยุทธศาสตร์รายสาขา
ทั้งนี้
แผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเป็นแผนที่ได้จากการประชุมปรึกษา
หารือร่วมกันของทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม
และประชาชน ซึ่งในการขับเคลื่อนแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัตินั้น
จะต้องมีการบูรณาการการดำเนินงานและสร้างบรรยากาศของความร่วมมือระหว่างภาค
ส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น เพื่อบูรณาการยุทธศาสตร์และโครงการ
และคำของบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด กับกระทรวง ทบวงกรม
คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.)
ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 จึงได้มอบหมายให้สำนักงาน
ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ.
จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการขึ้นเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่จังหวัด และ กลุ่มจังหวัด
เกี่ยวกับประเด็นสำคัญเร่งด่วน
ที่จำเป็นต่อการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการให้ทันต่อการ
เปลี่ยนแปลง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการว่า การแก้ไขปัญหาของประเทศที่ผ่านมา ได้อาศัยกลไกของส่วนกลางเป็นหลัก
ผ่านไปยังราชการส่วนภูมิภาค ต่อมารัฐบาลในยุคต่างๆ
ตระหนักถึงความสำคัญของการกระจายอำนาจมากขึ้น
ตั้งแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก คือ องค์การบริหารส่วนตำบล
ไปจนถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ คือ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดก็มีบทบาทมากขึ้นในการจัดบริการสาธารณะและแก้ปัญหา
ให้ประชาชน ในขณะที่ส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นมีบทบาทสูง
แต่กลไกในการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า
หลักคิดในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ที่นำมาใช้เดิม
ขาดกฎหมายที่มีความชัดเจนรองรับ ทำให้ได้ผลเป็นบางพื้นที่
ต่อมาจึงได้มีการผลักดันพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่ม
จังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ.2551
ซึ่งเป็นแนวคิดที่ให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสามารถบริหารงบประมาณได้
แต่การดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมายังไม่สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบ
เนื่องจากในปี พ.ศ.2552 ได้จัดสรรงบประมาณก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกาฯรองรับ
สำหรับในปีงบประมาณ 2553 แม้จะมีกฎหมายแล้วก็ตาม
แต่ปฏิทินงบประมาณที่ได้จัดทำไว้ก็ไม่สามารถดำเนินการตามเจตนารมณ์ของพระราช
กฤษฎีกาฯได้อย่างเต็มที่
ปีงบประมาณ พ.ศ.2554
ถือเป็นครั้งแรกที่จะดำเนินการจัดระบบให้เกิดความลงตัว
เพื่อจัดทำคำของบประมาณในปี พ.ศ.2554 ดังนั้น ในการประชุมสองวันนี้
ต้องการสร้างความเข้าใจร่วมกันในเรื่องการบูรณาการระหว่างโครงการส่วนกลาง
กับท้องถิ่น
เพื่อเป็นการเติมเต็มและอุดช่องว่างทางการบริหารของโครงการที่มาจากส่วนกลาง
และท้องถิ่น
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ
เพื่อดำเนินโครงการต่างๆ รวม 4.5 พันโครงการ ภายใต้งบประมาณ 1.8
หมื่นล้านบาท
โดยมีการตั้งงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามปกติ
และงบประมาณไทยเข้มแข็ง ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 รัฐบาลจะพยายามจัดงบฯ
ให้ได้ใกล้เคียงกับตัวเลขเดิม
แต่จะพยายามผลักดันทุกอย่างให้เข้าสู่ระบบงบประมาณตามปกติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า
หลักคิดในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด
เพื่อเสนอคำของบประมาณฯนั้น
ในส่วนของการพัฒนาทั่วไปและการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานที่ปรากฏตามแผนงาน
ของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ซึ่งอาจได้รับอนุมัติงบประมาณปกติ
หรืองบฯไทยเข้มแข็งไปแล้ว พอมาถึงการเสนอของบฯ ของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด
ไม่อยากให้คิดว่าถ้าเอาเงินจากส่วนแรกไม่ได้ ก็จะมาใช้งบฯ ตรงนี้
เพราะนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ การเสนอของบฯ
จังหวัด/กลุ่มจังหวัดต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาอย่างมียุทธศาสตร์
หากมีโครงการอะไรที่เสริมจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามปฏิบัติการไทยเข้ม
แข็งได้ หรือเสริมบริการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ได้
จังหวัดต้องบังคับตัวเองให้ออกจากกระบวนการงบประมาณตามปกติ
ที่เน้นฟังจากกระทรวง ซึ่งทราบดีว่ากระบวนการตรงนี้อาจจะกดดันท่านมาก
แต่ท่านต้องพยายามคิดนอกกรอบ แม้แต่หัวหน้าส่วนราชการในส่วนกลางเอง
ผมขอว่าอย่าเอาโครงการที่คิดในส่วนกลาง แต่ไม่มีงบประมาณไปเบียดบังงบฯ
ตรงนี้ ตรงกันข้าม กระทรวงต่างๆ ต้องคิดว่าในการจัดทำงบฯ ปี 2554
ถ้าจังหวัด/กลุ่มจังหวัดไหนมีโครงการที่น่าสนใจ
ก็ต้องพยายามให้เขาเข้ามาอยู่ในงบประมาณหลัก นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในการจัดทำแผนพัฒนาอยากให้เน้น 4 เรื่องหลัก คือ
1. ความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค
2. การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
3. การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4. ทิศทางนโยบายเศรษฐกิจแบบพอเพียง
ทั้งนี้ ความสำเร็จในการจัดงบประมาณของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด
คือการได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ ดังนั้น ผู้ว่าฯ
ต้องทำตัวเป็นแกนประสาน ต้องระดมสรรพกำลังจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม อปท.
และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งต้องขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต่างๆ เพราะผู้ว่าฯ
ถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการชี้ขาดเป้าหมายในการพัฒนาของแต่ละพื้นที่
อนึ่ง ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดสู่กาที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 19 มกราคม 2553 นั้น
มีกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ความรู้อย่างมาก โดยในวันที่ 18
เริ่มจากช่วงเช้า เป็นการอภิปรายเรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดกับความท้าทายใหม่ในเวทีโลก โดยมี ดร.ทศพร ศิรสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธาน
กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกรรมการ ก.พ.ร.
ได้อภิปรายตอนหนึ่งว่า
ประเทศไทยมีศักยภาพผลิตสินค้าการเกษตรเพื่อเลี้ยงประชากรไทยได้สูงถึง 250
ล้านคน หรือ 4 เท่าของประชากรในประเทศ แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังยากจน
ไม่มีที่ดินทำกิน ขาดเงินทุน ความรู้ ต้นทุนการผลิตสูง
และราคาสินค้าเกษตรไม่มีเสถียรภาพ ขณะที่การค้าโลกมีแนวโน้มเปลี่ยนไป
ซึ่งมีการนำมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีมาใช้ อาทิ
มาตรฐานสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม มาตรฐานการนำเข้า
รวมถึงการนำเรื่องแรงงานและปัญหาโลกร้อนมาเป็นประเด็นกีดกันการนำเข้าสินค้า
ดังนั้น ภาคการเกษตรไทยจึงมีความจำเป็นต้องปรับตัว
โดยเฉพาะการมียุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชัดเจน
ต้องยอมรับว่า ยุทธศาสตร์ระดับชาติของไทยมีจุดอ่อน คือ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ยุทธศาสตร์ระดับชาติก็เปลี่ยนไป นายสมพลกล่าว
นายสมพลกล่าวต่อไปว่า การจัดสรรงบฯ จังหวัดปัจจุบันมีข้อจำกัด
คืองบฯ ที่ได้รับจัดสรรน้อยเกินไป
และกระจัดกระจายไปดำเนินการในโครงการเล็กๆ
ทำให้ไม่มีกำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพียงพอ
ขณะที่โครงการยังขาดความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มจังหวัด
มีความไม่ต่อเนื่องของโครงการ
ไม่มีการแบ่งงานให้ชัดเจนระหว่างส่วนกลางและจังหวัด
จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการแบ่งงานให้ชัดเจนและมีการประเมินผลโครงการ
ด้านนายสมภพ อมาตยกุล รอง
ประธานมูลนิธิเพื่อการวิจัยแห่งประเทศไทย และกรรมการ ก.พ.ร. กล่าวว่า
การทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด สำคัญที่สุดคือ
กระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย
จังหวัดที่แข็งแรงจะต้องมีระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน ทั้งภาคอุตสาหกรรม
การค้าและการบริการ โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรม
จังหวัดต้องเลือกว่าจะรับอุตสาหกรรมใดเข้ามา ไม่ใช่ว่ารับมาทั้งหมด
แต่มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ขณะที่การสร้างทุนทางสังคม
ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยจังหวัด/กลุ่มจังหวัด
ต้องมีความชัดเจนในบทบาทการสร้างความมีส่วนร่วมของภาคีต่างๆ
ซึ่งภาคประชาชน- ถือเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนพัฒนา ส่วนภาครัฐ -
มีบทบาทในการชี้นำ เพื่อเชื่อมโยงฝ่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยมีภาคเอกชน -
เป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
และภาคประชาสังคม - มีบทบาทในการสร้างกระบวนการเรียนรู้
สร้างทางเลือกพัฒนา และส่งเสริมภาคีการพัฒนาให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ สถาบันศาสนา -
เป็นผู้มีบทบาทในการปลูกฝังทัศนคติและแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องในการดำรง
ชีวิต
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธาน
สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่า
การท่องเที่ยวของไทยจากนี้ไป
ต้องเผชิญกับการแข่งขันอันเกิดจากการเปิดเสรีภาคบริการของอาเซียน 2015
ซึ่งมองว่า
จังหวัดสามารถใช้จุดแข็งที่แต่ละจังหวัดมีอยู่ในการดึงดูดรายได้จากการท่อง
เที่ยว โดยมีแนวคิดว่า การท่องเที่ยวไทยต้องรักษาส่วนแบ่งตลาดเดิม
และต้องสร้าง Business Life Cycle ใหม่ โดยหา Product ใหม่
ควบคู่ไปกับการมองมิติท่องเที่ยวมากกว่าการหารายได้จากนักท่องเที่ยว เช่น
การลงทุนเพื่อการท่องเที่ยว การสร้างธุรกิจต่อเนื่อง อาทิ การแพทย์
การศึกษา ภาพยนตร์ ร้านอาหารไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ต้องพัฒนาจุดแข็งความเป็นไทยมาใช้ประโยชน์ (Cultural Society)
และสร้าง Brand ด้านท่องเที่ยวในทุกระดับ ทั้งระดับกลุ่มพื้นที่ จังหวัด
หรือของธุรกิจ
จากนั้นเป็นการบรรยายเรื่อง โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน โดย นายมีชัย วีระไวทยะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน กล่าวว่า
การดำเนินการโครงการฯ ที่ผ่านมา ยังมีการประชาสัมพันธ์น้อย
ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดการมีส่วนร่วม
ขณะที่โครงการไม่มีความต่อเนื่อง
และมีผู้เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากโครงการเพื่อสร้างความร่ำรวย
แนวทางการดำเนินโครงการใหม่นั้น จะให้ประชาชนตั้งแต่อายุ 15
ปีขึ้นไปมีสิทธิชี้แนะว่าจะทำโครงการอะไร
และเป็นครั้งแรกที่เยาวชนจะมีส่วนร่วมในการเสนอแนะโครงการและมีส่วนร่วมใน
การกำหนดการใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งในวันที่ 31 มกราคม
จะมีการทำประชาคมพร้อมกันทั่วประเทศ
รวมทั้งมีหน้าที่ชี้หรือแจ้งเบาะแสการทุจริตผ่านช่องทางที่เตรียมไว้
โดยมั่นใจว่ามีระบบที่สามารถตรวจสอบการทุจริตเพียงพอ แต่หากมีการทำทุจริต
จะต้องมีการดำเนินคดีทางอาญา นายมีชัยกล่าว
นายมีชัยกล่าวต่อไปว่า
ส่วนการดำเนินโครงการชุมชนพอเพียงในระยะยาว
นอกจากรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณในโครงการชุมชนพอเพียงแล้ว
จะมีการเปิดโอกาสให้รัฐวิสาหกิจและเอกชนเข้ามาสมทบเงินในโครงการชุมชนพอ
เพียงด้วย โดยจะได้รับสิทธิในการลดหย่อนภาษี
ซึ่งจะได้หารือกับกระทรวงการคลังในเร็วๆ นี้
ส่วนการทำประชาคมพร้อมกันทั่วประเทศนั้น ต้องการให้ผู้ว่าฯ
นายอำเภอ และทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
โดยเฉพาะการทำประชาคมหมู่บ้าน
ซึ่งตามหลักเกณฑ์กำหนดว่าการทำประชาคมโครงการต้องมีครัวเรือนร่วมทำประชาคม
ไม่ต่ำกว่า 50% ทั้งนี้ โครงการฯ พร้อมที่จะผ่อนผันหลักเกณฑ์ให้ได้
คือจะต้องมีครัวเรือนมาร่วมทำประชาคมตั้งแต่ 40%
ของครัวเรือนในหมู่บ้านขึ้นไป
ในช่วงบ่าย ภายหลังจากการมอบนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการโดยนายกรัฐมนตรีแล้ว เป็นการ
ประชุมเชิงปฏิบัติการ
บูรณาการยุทธศาสตร์และโครงการและคำของบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดกับกระทรวง ทบวง กรม โดยแบ่งกลุ่มย่อย 5 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1: ด้านการเกษตร โดย รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เป็นประธาน
กลุ่มที่ 2 : ด้านการท่องเที่ยว โดย รองนายกรัฐมนตรี (พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์) เป็นประธาน
กลุ่มที่ 3 : ด้านอุตสาหกรรม โดย เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นประธาน
กลุ่มที่ 4 :ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม โดย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เป็นประธาน
กลุ่มที่ 5 : ด้านการค้า และการจัดการระบบโลจิสติกส์ โดย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) เป็นประธาน
ทั้งนี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและผลสรุปการประชุม
พร้อมดาวน์โหลดเอกสารการบรรยายพิเศษในหัวข้อเรื่องต่างๆ
ได้ทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ www.opdc.go.th
กลุ่มสื่อสารฯ สลธ. / ข่าว & ภาพ
วสุนธรา (สลธ.) / จัดทำ
เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2553 10:21:28 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2553 10:25:50