Logo of OPDC ก.พ.ร. FAQ สำหรับการค้นหา  |  ภาษาไทย   |   English   |   Mobile   |   Help   |  

หน้าหลัก หน้าหลัก | ติดต่อ | ผังเว็บไซต์ |  หน้าหลัก
Share แชร์ พิมพ์หน้านี้
ข่าวเด่น ก.พ.ร. / ปี 2552 / พฤศจิกายน / รายการเดินหน้า...พัฒนาราชการไทย ตอน การปรับปุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถนการแข่งขัน

รายการเดินหน้า...พัฒนาราชการไทย ตอน การปรับปุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถนการแข่งขัน

รายการเดินหน้า...พัฒนาราชการไทย ตอน
การปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน


          รายการเดินหน้า...พัฒนาราชการไทย ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2552 ได้นำเสนอในตอน การปรับปรุงการให้บริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งที่มาของเรื่องนี้คือ รายงานวิจัยของธนาคารโลกที่จัดอันดับประเทศที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจ (Doing Business 2010) โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 12 จาก 183 ประเทศทั่วโลก สูง ขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ 13 จาก 181 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นอันดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศเอเชีย รองจากสิงคโปร์และฮ่องกง นับเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งในการพัฒนาระบบราชการไทย ซึ่งรายการเดินหน้า..พัฒนาราชการไทย ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านมาร่วมพูดคุยกันในประเด็นดังกล่าว ประกอบด้วย นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร นางผานิต หล่อตระกูล รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดร.กิริฎา เภาพิจิตร เศรษฐกรของธนาคารโลกประจำประเทศไทย และ นายสมภพ อมาตยกุล ประธานกรรมการบริษัท บี.บี.บิสซิเนสแมเนจเมนท์ จำกัด 

          เริ่มจากภาพบรรยากาศ งานแถลงข่าวรายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business 2010 altณ ธนาคารโลกประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 ซึ่ง ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. ได้กล่าวถึงผลการวิจัยดังกล่าว มีใจความตอนหนึ่งว่า ..การจัดอันดับในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการวัดเรื่องบรรยากาศการลงทุน แต่เป็นการดูเรื่องกระบวนการขั้นตอนของทางราชการ กฎ ระเบียบ ขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจตั้งแต่ต้นจนจบ จากรายงานวิจัยของธนาคารโลกเมื่อปี 2006 ที่ไทยอยู่อันดับที่ 20 จาก 170 ประเทศนั้น ได้กระตุ้นให้ไทยเริ่มหันมองตัวเองมากขึ้นว่า ควรจะปรับปรุงแก้ไขในเรื่องใดได้บ้าง จนได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ.2548 ให้ทางกระทรวงพาณิชย์และสำนักงาน ก.พ.ร. ประสานกับส่วนราชการต่างๆ ที่อยู่ในกระบวนการที่ธนาคารโลกใช้ในการประเมินจัดอันดับความยากง่ายในการทำ ธุรกิจ โดยได้ประชุมร่วมกันในการหาจุดที่จะแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นผลให้อันดับของไทยดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่ธนาคารโลกให้ความสำคัญคือความเอาจริงเอาจังในการปรับปรุง ตลอดจนการดำเนินการที่ต่อเนื่อง โดยที่กระทรวงพาณิชย์และสำนักงาน ก.พ.ร. เข้ามาดูแลให้กับส่วนราชการต่างๆ ก็มีเจตนารมณ์ที่อยากให้ประเทศไทยมีขั้นตอนที่เอื้อต่อการทำธุรกิจมากขึ้น และได้พยายามลดกฎระเบียบบางเรื่องออกเพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทยขึ้นไปอยู่ใน อันดับ 1 ใน 10 ของเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ..


          altจากนั้นเป็นการสนทนาระหว่างพิธีกร คุณศิริบูรณ์ ณัฐพันธ์ กับแขกรับเชิญท่านแรกคือ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร เศรษฐ กรของธนาคารโลกประจำประเทศไทย ซึ่ง ดร.กิริฎาเล่าว่า เหตุผลหลักที่ประเทศไทยสามารถเลื่อนอันดับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 12 ได้ เนื่องจากการปรับปรุงกระบวนงานของภาครัฐในการเริ่มประกอบธุรกิจให้ทำได้ง่าย ขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการจดทะเบียนธุรกิจซึ่งได้รวมขั้นตอนการขอหนังสือบริคณห์สนธิ กับการขอจดทะเบียนธุรกิจเป็นขั้นตอนเดียว สำหรับการพิจารณาตัดสินของธนาคารโลก พิจารณา จากกระบวนงานให้บริการของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ ซึ่งมี 10 ด้าน ประกอบด้วย 1) การเริ่มต้นธุรกิจ 2) การขออนุญาต 3) การจ้างแรงงาน 4) การจดทะเบียนทรัพย์สิน 5) การได้รับสินเชื่อ 6) การคุ้มครองผู้ลงทุน 7) การชำระภาษี 8) การค้าระหว่างประเทศ 9) การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง และ 10) การปิดกิจการ โดยธนาคารโลกได้ทำการศึกษาจากส่วนราชการและสอบถามบริษัทกฎหมายหรือบริษัท ตรวจสอบบัญชี เพื่อทราบถึงกฎระเบียบ ขั้นตอน การติดต่อกับส่วนราชการในการประกอบธุรกิจว่ามีความยากง่ายอย่างไร นอกจากนั้น ดร.กิริฎา ได้ให้ความเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากข้อมูลทั้ง 10 ด้านของประเทศไทยในรายงาน Doing Business พบว่าประเทศไทยมีโอกาสที่จะได้รับการจัดอันดับให้สูงขึ้นได้ หากมีการปรับปรุงบางเรื่อง เช่น กระบวนการปิดกิจการซึ่งควรใช้เวลาให้น้อยลง และเรื่องการจ่ายภาษีที่ปัจจุบันมีจำนวนครั้งในการจ่ายภาษีค่อนข้างสูง รวมทั้งเห็นควรให้มีการนำระบบ e-custom มาใช้ให้แพร่หลายมากขึ้น

alt
 
          ต่อมาเป็นการสนทนากับผู้แทนจาก 2 หน่วยงานที่ได้มีการพัฒนาปรับปรุงการบริการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา จัดอันดับของธนาคารโลก ได้แก่ นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร และ นางผานิต หล่อตระกูล รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร เล่าถึงสิ่งที่กรมสรรพากรได้ดำเนินการว่า.. กรมสรรพากรได้ มีการแก้กฎหมายเกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยออกพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูก สร้าง ซึ่งพระราชกฤษฎีกานี้ได้ขยายเวลาบังคับใช้ถึง 28 มีนาคม 2553 ผลคือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว ส่วนเรื่องการให้บริการนั้น อธิบดีกรมสรรพากรให้มุมมองว่า หน้าที่สำคัญของกรมสรรพากรคือให้บริการผู้เสียภาษี ดังนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้เกิดความเป็นธรรม ความโปร่งใส รวมไปถึงการให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ให้มีจิตใจที่จะบริการประชาชน ตลอดจนการปรับปรุงระบบการชำระภาษีให้สะดวกขึ้น อย่างการนำระบบ Online มาใช้ในการยื่นแบบเสียภาษี นอกจากนั้น อธิบดีกรมสรรพากร ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอนาคตอยากให้มีระบบการคำนวณภาษีสำหรับผู้มีรายได้เงินเดือนอย่างเดียว ให้ยอดภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายทุกเดือนตรงกับภาษีที่ต้องจ่ายในสิ้นปี เพื่อให้ไม่ต้องยื่นแบบเสียภาษีอีก ทำให้ลดเวลาและลดการใช้กระดาษลง และอีกเรื่องคือระบบ e-tax invoice หรือการเชื่อมโยงเทคโนโลยีสารสนเทศของภาครัฐกับภาคธุรกิจในการออกใบกำกับ ภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์..

          ส่วนแขกรับเชิญอีกท่าน คือ นางผานิต หล่อตระกูล รอง อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เล่าถึงการปรับปรุงการทำงานของกรมฯ ว่า.. กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ทำการปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมาย ในการจัดตั้งธุรกิจใหม่ จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 9 วัน ให้เหลือภายในวันเดียว ด้วยการแก้ไขกฎหมายการปรับเปลี่ยนสถานะของการจดทะเบียน ทำให้การแปรสภาพธุรกิจเร็วขึ้น และตรวจสอบข้อมูลผู้ขอจดทะเบียนการค้าด้วยระบบ Online โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมสรรพากรและสำนักทะเบียนราษฎร์ นอกจากนั้น กรมฯ ยังมีบริการอบรมเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการที่ สนใจ เช่น ระบบ e-commerce ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจค้าปลีก หรือธุรกิจบริการต่างๆ เป็นต้น รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการให้บริการรูปแบบใหม่ๆ ของกรมฯ ว่า ปัจจุบันมีบริการ web service ให้บริการข้อมูลแก่หน่วยงานอื่นที่ทำงานเชื่อมโยงกับกรมฯ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และในอนาคตอันใกล้ทางกรมฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดศูนย์ให้บริการแก่ผู้ลงทุนชาวต่างชาติ รวมไปถึงการปรับปรุงสถานที่ให้บริการตามต่างจังหวัดด้วย นอกจากนั้นยังจะทำการปรับปรุงกฎระเบียบ เสนอแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนการค้าให้สามารถจดทะเบียนได้ไม่ จำกัดสถานที่ ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือกับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อขยายเครือข่ายในการให้บริการด้วย..

          ต่อมาเป็นมุมมองจากภาคเอกชนบ้างว่า ในการทำงานร่วมกับภาครัฐนั้น altมีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง และอยากให้มีการปรับปรุงในเรื่องใดเพิ่มเติม ซึ่ง ดร.สมภพ อมาตยกุล ประธาน กรรมการบริษัท บี.บี.บิสซิเนสแมเนจเมนท์ จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า.. การบริหารงานภาครัฐปัจจุบัน จะเห็นว่ามีการตื่นตัวและปรับปรุงแก้ไขเรื่องต่างๆ ไปค่อนข้างมาก ทำให้ไม่ค่อยพบปัญหาอุปสรรคสักเท่าไหร่ แต่ก็มีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอยู่บ้างในเรื่องการบริการแก่ภาคเอกชน ได้แก่ ประเด็นเรื่องความสะดวกรวดเร็ว การลดขั้นตอน ความเสมอภาคในการให้บริการ สำหรับแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการทำงานของภาครัฐนั้น ดร.สมภพ ให้ข้อเสนอแนะว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั้น ภาครัฐควรจะพิจารณาเรื่องที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องการส่งออก โดยที่ภาครัฐควรจะมีการอำนวยความสะดวกให้ผู้ทำธุรกิจส่งออกในการดำเนินการ ต่างๆ เช่น การทำธุรกรรมส่งออก การขออนุมัติ-อนุญาต เป็นต้น นอกจากนั้นภาครัฐควรจะมีภาวะผู้นำโดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการต้องมีแผนงานที่ จะปรับปรุงให้ชัดเจน รวมถึงเปลี่ยนมุมมองการให้บริการโดยต้องให้ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง แล้วดูว่าผู้รับบริการต้องการอะไร แล้วจึงดำเนินการตามนั้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมการให้บริการใหม่ๆ มาใช้เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน..



สุคนธ์ทิพย์ (สลธ.) / ข่าว & ภาพ
วสุนธรา & ภัทรพร ข. (สลธ.) / จัดทำ

 

 


เผยแพร่ข้อมูลเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2552 13:20:07 ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2552 13:33:45
ข่าวเด่น ก.พ.ร.
    ลิงค์     |     สมาชิกเครือข่าย     |     RSS feed     |     คำถามที่พบบ่อย            

เกี่ยวกับ

กฏหมายและระเบียบ

หนังสือเวียน

ข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ

ศูนย์ความรู้

ประชาสัมพันธ์

W3C   Facebook Facebook สำนักงาน ก.พ.ร.   PMQA Channel  ฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ  ipv6 ready  www.info.go.th  การปฏิเสธความรับผิดชอบ |  Webmail| Intranet สำหรับข้าราชการ | ผังเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ 

Slocan

สงวนลิขสิทธิ์โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

59/1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร. 02 356 9999 โทรสาร 02 281 7882 สายด่วน 1785 e-mail: administrator@opdc.go.th