ในช่วงแรก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวถึงความเป็นมาของการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้ว่า “สืบเนื่องจากมติ ก.น.จ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2556 โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่ง ก.น.จ. ได้มีข้อสังเกตให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีการทบทวนแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด เพื่อให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศ และการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมทั้งให้มีความเชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล การโซนนิ่ง แผนการบริหารจัดการน้ำ ดังนั้น เพื่อให้เป็นตามมติ ก.น.จ. ดังกล่าว สำนักงาน ก.พ.ร. จึงร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อทบทวนและจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการขึ้น เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2556 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม และได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเข้าร่วมประชุมจัดทำดัชนีชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัดเพื่อเป็นเครื่องมือในการบอกทิศทางการพัฒนาจังหวัดเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศ แล้วนำไปสู่การทบทวนยุทธศาสตร์ตามแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว โดยกำหนดวาระงานในการลงพื้นที่เป็นประธานในการประชุมเชิงปฏิบัติการทบทวนแผนพัฒนาจังหวัด และจัดทำตัวชี้วัดการพัฒนาจังหวัดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศเพื่อขยายผลรวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด
มุกดาหาร จังหวัดยโสธร จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดนครนายกในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ภายหลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ในวันนี้ จังหวัดและกลุ่มจังหวัดจะต้องกลับไปทบทวนแผนพัฒนาจังหวัดและ แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด โดยมีปฏิทินในการดำเนินการ คือ ช่วงเดือนกันยายน 2556 ทีมบูรณาการกลาง ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงมหาดไทยจะลงพื้นที่เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำแก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวม 4 ภาค ปลายเดือนตุลาคม 2556 นำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ทบทวนแล้วเสนอ ก.น.จ. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ และช่วงเดือนพฤศจิกายน 2556 – กุมภาพันธ์ 2557 จังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีและคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ต่อไป”
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ กล่าวโดยสรุปว่า เพื่อให้การทบทวนบทบาทของแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดมีประสิทธิภาพ และตรงตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกำหนดไว้ จึงขอเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดทั้งภาครัฐ เอกชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด เพื่อให้เป็นแผนที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง มีการบูรณาการกับผู้แทนกระทรวง กรม ให้เกิดความชัดเจนเบื้องต้นว่า จะร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัด และกลุ่มจังหวัดให้บรรลุผลจะต้องมีแผนงานโครงการที่จะร่วมมือกันอย่างไร ตลอดจนต้องให้ความสำคัญกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้องครบถ้วนและทันสมัย และท้ายสุด ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แผนยุทธศาสตร์นี้เดินหน้าไปอย่างเป็นระบบ ทุกระดับต้องเข้าใจและร่วมมือกันฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องนำความรู้ที่ได้รับกลับไปพัฒนาจังหวัดอย่างเต็มความสามารถ แล้วความสำเร็จก็จะเกิดขึ้น
จังหวัด/กลุ่มจังหวัดรูปแบบใหม่” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวโดยสรุปว่า ประเด็นของการกำหนดกลยุทธ์โครงการในปัจจุบัน เนื่องจากกรอบยุทธศาสตร์เป็นภาพกว้าง ความท้าทายในการคิด กลยุทธ์และโครงการให้แตกต่าง และสามารถตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ในภาพรวม คุณลักษณะที่สำคัญของคนที่คิดอะไรใหม่ๆ จะต้องมี ได้แก่ 1) Associating มีความคิดเชื่อมโยงเพื่อสร้างอะไรใหม่ๆ 2) Questioning ชอบตั้งคำถาม 3) Observing ช่างสังเกต 4) Experimenting ทดลอง และ 5) Networking ในขณะเดียวกัน ต้องมีการคิดรูปแบบใหม่
จากที่คิดเพื่อตอบสนองความต้องการ เป็นการทำให้ประชาชนเกิดความต้องการ ภายใต้วิธีทั้ง 6 ด้านคือ เปลี่ยนนิยามธุรกิจ เปลี่ยนนิยามลูกค้า เปลี่ยนคุณค่าที่นำเสนอ นำเสนอให้ครบวงจร บูรณาการและเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม ตลอดจนการพิจารณาถึงแนวโน้มในอนาคต ซึ่งแต่ละจังหวัดสามารถเรียนรู้หลักการ แนวคิด และวิธีการคิด จากวงการธุรกิจหรือวงการบันเทิง เพื่อให้รู้รอบ และนำมาเชื่อมโยงกัน สร้างความต้องการใหม่ๆ ฝึกความคิดสร้างสรรค์ โดยการมองเรื่องเดิมๆ แต่มองจากมุมใหม่ ซึ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาจังหวัดของตนเองได้อย่างยั่งยืน

ในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 มีการบรรยายในหัวข้อ: Food Valley โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวโดยสรุปว่า “Food Valley เป็นเขตพื้นที่สำหรับพัฒนาแนวคิดการสร้างคลัสเตอร์ด้านการผลิตอาหารให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ได้อาหารที่ดี ปลอดภัย และมีคุณค่า ตลอดจนรูปลักษณ์ที่ปรับให้เข้ากับผู้บริโภค ขณะที่ประเทศไทย โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งต่อยอดโครงการ Thailand Food Valley ที่ดำเนินรอยตามแนวคิดหุบเขาอาหารแห่งเนเธอร์แลนด์ ประเทศที่ส่งออกผลผลิตทางการเกษตรและอาหารสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมุ่งเน้นสนับสนุนโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ ยกระดับการผลิต พัฒนากระบวนการผลิต การวิจัยและพัฒนาอาหารให้มีความเข้มแข็ง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างไปตามวัฒนธรรมการบริโภค ภายใต้แนวคิด สร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหาร และหน่วยงานวิจัย/มหาวิทยาลัย โดยที่โครงการ Thailand Food Valley จะเป็นผู้ประสานงาน ซึ่งหัวใจสำคัญคือ ความเชี่ยวชาญของหน่วยงานวิจัย ระบบเครือข่ายที่ดี สิทธิพิเศษในการใช้งานวิจัย ตลอดจนการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ดำเนินงานในกรอบยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด Thailand Food Valley กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างเครือข่ายหน่วยงานวิจัย เพื่อสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมและสนับสนุนการนำผลงานวิจัยไปผลิตเชิงพาณิชย์ในอุตสาหกรรมอาหาร และยุทธศาสตร์ที่ 4 กระตุ้นให้ผู้ประกอบการ SMEs ในอุตสาหกรรมอาหารเห็นความสำคัญของ R&D พร้อมวางเป้าหมายนำในพื้นที่และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
หลังจากนั้น เป็นการอภิปรายในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว” โดย นายกฤษณ์ รุยาพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Asia Pacific Innovation Center Co., Ltd. นายวิทวัส ชัยปาณี ประธาน (Worldwide Chairman) กลุ่มบริษัท Creative Juice Worldgroup และนายกกิติมศักดิ์สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย, นายเจริญ วังอนานนท์ ที่ปรึกษาสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA), นายธนัช กรองกันภัย กรรมการ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และดำเนินการอภิปรายโดย นาย กฤษณ์ พันธ์รัตนมาลา ความโดยสรุปว่า ความได้เปรียบของประเทศไทยด้านยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวมีหลายด้าน อาทิ มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโลก มีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลาย โดยมีแนวทางการสร้างยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคือ ตั้งเป้าหมายแบบเน้นคุณภาพ วางแผนปฏิบัติการสร้างความ โดดเด่นและแตกต่างด้วยเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ดูแลระมัดระวังเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีแนวปฏิบัติที่ดีตามมาตรฐานสากล รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักเศรษฐศาสตร์ Creative ที่สามารถสร้างสรรค์และริเริ่มเทคโนโลยีด้านอาหารใหม่ๆ ตลอดจนเพิ่มมาตรฐานและประสิทธิภาพการผลิตเพื่อพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาคอาเซียน