มติคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่ 12 กันยายน 2549
ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสำนักงาน
ก.พ.ร.
การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายน
2549 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังใหม่
ทำเนียบรัฐบาล ได้พิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสำนักงาน
ก.พ.ร. จำนวน 4 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 2
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยเบี้ยประชุมประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ
กรรมการและอนุกรรมการ คณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ พ.ศ.
.... |
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยเบี้ยประชุมประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ
กรรมการและอนุกรรมการ คณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. ....
ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้
ให้ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ตามความเห็นกระทรวงการคลัง
และเห็นชอบให้สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ร่างระเบียบฯ
ดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเบี้ยประชุมของคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ
และคณะอนุกรรมการไว้ ดังนี้
ลำดับ |
ตำแหน่ง |
อัตราเบี้ยประชุม (บาท) |
หมายเหตุ |
1. 2. 3. 4. 5. 6. |
ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ ประธานอนุกรรมการ รองประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ |
7,500 6,750 6,000 3,750 3,375 3,000 |
การจ่ายเบี้ยประชุมให้จ่ายเป็นรายเดือน
เฉพาะเดือนที่เข้าประชุม เดือนใดไม่มีการประชุม
หรือมีการประชุมแต่ไม่เข้าประชุมให้งดจ่าย |
ทั้งนี้
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชี้แจงว่า สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จัดขึ้นตามพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. 2540 โดยมาตรา
4 กำหนดให้มีคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ
ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดแผนหลัก
และเสนอแนะนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบมาตรวิทยาของประเทศ
ให้คำแนะนำแก่หน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ การเก็บรักษา
การดำเนินการอย่างอื่นเกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์
หรือวัสดุอ้างอิงในการใช้วัดปริมาณ ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ
แต่งตั้ง การกำหนดตำแหน่งการกำหนดอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้าง
อนุมัติแผนการเงินและงบประมาณประจำปีของสถาบัน
รวมทั้งปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
สมควรกำหนดเบี้ยประชุมประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ
และอนุกรรมการ
ของคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งขาติโดยให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนในอัตราที่เหมาะสม
สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตอบข้อหารือสถาบันมาตรวิทยาว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547
เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ
กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน
และให้นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้กับหน่วยงานของรัฐ
ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะรวม 8 แห่ง
ซึ่งรวมถึงสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติที่ถูกจัดไว้ในกลุ่มที่ 2 ด้วย
ดังนั้น เพื่อให้
การกำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ
และอนุกรรมการสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องดำเนินการกำหนดระเบียบตามมาตรา 10
แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. 2540
จึงได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเบี้ยประชุมประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ กรรมการและอนุกรรมการ คณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ
พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
เรื่องที่ 5
การติดตามประเมินผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในระยะแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 - 2549) |
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9
และแนวทางการพัฒนาที่ควรให้ความสำคัญในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เสนอ ดังนี้
การดำเนินงานของ สศช.
1.
ในปีงบประมาณ 2549 การดำเนินงานภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9
ได้ดำเนินการมาถึงปีสุดท้ายของแผนฯ แล้ว สศช.
จึงได้ดำเนินการติดตามประเมินผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 9 (2545 - 2549)
ว่ามีผลสำเร็จและมีความก้าวหน้าของการดำเนินงานมากน้อยเพียงใด
มีปัญหาและอุปสรรคต่อความสำเร็จและความล้มเหลวในการพัฒนาอย่างไร
รวมทั้งข้อเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป
เพื่อประโยชน์ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10
(พ.ศ. 2550 - 2554)
2.
การติดตามประเมินผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 9 ครั้งนี้
ได้ประมวลและสังเคราะห์ข้อมูลจากการรายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 9 ที่กระทรวงต่าง ๆ จัดส่งให้ สศช.
ประกอบการวิเคราะห์และติดตามประเมินผลด้วย
โดยได้ให้ความสำคัญกับการติดตามผลการดำเนินงานใน 3 ประการ ดังนี้
1)
การประเมินผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม
2)
การติดตามผลการดำเนินงานที่ตอบสนองการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 9
3)
การประเมินผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนา
ผลการพัฒนาในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9
1. ผลการพัฒนาตามเป้าหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9
1)
การพัฒนาเศรษฐกิจมหภาคในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9
บรรลุเป้าหมายในด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ
และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคอุตสาหกรรม 2)
คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น จากการขยายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
การเพิ่มโอกาสการมีงานทำ และการปราบปรามยาเสพติดที่บรรลุผล 3) การบริหารจัดการที่ดีในสังคมไทยก้าวหน้าขึ้นโดยเฉพาะการพัฒนาระบบราชการ
การสร้างธรรมภิบาลภาคเอกชน
ขณะที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนามากขึ้น 4)
การแก้ไขปัญหาความยากจนสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย
2. ผลการดำเนินงานที่สำคัญ
1)
การเสริมสร้างระบบการบริหารการจัดการที่ดี
2)
การพัฒนาคุณภาพคนและการคุ้มครองทางสังคม
3)
การปรับโครงสร้างการพัฒนาชนบทและเมืองอย่างยั่งยืน
4)
การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
5)
การบริหารเศรษฐกิจส่วนรวม
6)
การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
7)
การพัฒนาความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3. ผลกระทบการพัฒนา 1)
ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย ซึ่งอยู่ในระดับดีอย่างต่อเนื่องในช่วง 3
ปีแรกของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 ได้ลดลงในปี 2548
และระดับความเข้มแข็งได้ลดลงต่ำกว่าปีสุดท้ายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
2)
ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย อยู่ในระดับดีตลอดช่วง 4 ปีของแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 9 3)
การพัฒนาที่ยั่งยืนยังคงอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง
โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพคนและสิ่งแวดล้อม
4. แนวทางการพัฒนาที่ควรให้ความสำคัญในระยะแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 10 1)
ปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศให้มีความสมดุล
และมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น 2)
พัฒนาและส่งเสริมการประหยัดพลังงานเพื่อทดแทนการนำเข้า 3)
พัฒนาสังคมให้เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้
เพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศที่มั่นคงและยั่งยืน 4)
เสริมสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตครอบครัว 5)
ฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในคงความสมบูรณ์
6)
พัฒนากลไกตรวจสอบความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ
เรื่องที่ 7
ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่
10 (พ.ศ. 2550 - 2554) |
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 -
2554) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) เสนอ
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำกราบบังคมทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - 2554) ต่อไป
ทั้งนี้
ให้ สศช. รับไปปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ให้เหมาะสม โดยความสำคัญใน 3
ประเด็น ได้แก่ 1.
การให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 2.
การจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานต่าง
ๆ ของภาครัฐ รวมทั้งการแปลงสภาพของรัฐวิสาหกิจ 3.
การดำเนินการเพื่อสร้างเครือข่ายและระบบฐานข้อมูลภาครัฐและภาคประชาชน
รวมทั้งให้
สศช.
รับความเห็นของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปปรับปรุงแผนพัฒนาฯ
ให้ครอบคลุมใน 3 ประเด็นดังกล่าวด้วย
โดยร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550-2554) มีสาระสำคัญดังนี้
1. วิสัยทัศน์ประเทศไทย มุ่งพัฒนาสู่
สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน (Green and Happiness Society)
คนไทยมีคุณธรรมนำความรอบรู้ รู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น
ชุมชนเข็มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมีคุณภาพ เสถียรภาพ และเป็นธรรม
สิ่งแวดล้อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาล
ดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
และอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี
2. พันธกิจ เพื่อให้การพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 10 มุ่งสู่ สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ภายใต้แนวปฏิบัติของ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จึงกำหนดพันธกิจของการพัฒนาประเทศดังนี้
(1)
พัฒนาคนให้มีคุณภาพพร้อมคุณธรรมและรอบรู้อย่างเท่าทัน (2)
เสริมสร้างเศรษฐกิจให้มีคุณภาพ เสถียรภาพ และเป็นธรรม (3)
ดำรงความหลากหลายทางชีวภาพ
และสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อม
(4) พัฒนาระบบบริหารจัดการประเทศให้เกิดธรรมาภิบาล
ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข
3. วัตถุประสงค์
(1)
เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้คู่คุณธรรม จริยธรรมอย่างต่อเนื่อง
ที่ขับเคลื่อนด้วยการเชื่อมโยงบทบาทครอบครัว
สถาบันศาสนาและสถาบันการศึกษา
เสริมสร้างระบบสุขภาพอย่างสมดุลระหว่างการส่งเสริม การป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพ และสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
(2)
เพื่อเพิ่มศักยภาพของชุมชน เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เป็นรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และอนุรักษ์ ฟื้นฟู
ใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นำไปสู่การพึ่งตนเองและลดปัญหาความยากจนอย่างบูรณาการ
(3)
เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตสู่การเพิ่มคุณค่า (Value Creation)
ของสินค้าและบริการบนฐานความรู้และนวัตกรรม
รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างสาขาการผลิต
เพื่อทำให้มูลค่าการผลิตสูงขึ้น
(4)
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน (Safety Net) และระบบบริหารความเสี่ยงให้กับภาคการเงิน การคลัง พลังงาน
ตลาดปัจจัยการผลิต ตลาดแรงงาน และการลงทุน
(5)
เพื่อสร้างระบบการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุนให้เป็นธรรม
และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศรวมทั้งสร้างกลไกในการกระจายผลประโยชน์จากการพัฒนาสู่ประชาชนในทุกภาคส่วนอย่างเป็นธรรม
(6)
เพื่อเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคู่กับการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ให้เป็นฐานที่มั่นคงของการพัฒนาประเทศ และการดำรงชีวิตของคนไทย
ทั้งในรุ่นปัจจุบันและอนาคต
รวมทั้งสร้างกลไกในการรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างเป็นธรรมและอย่างยั่งยืน
(7) เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการประเทศสู่ภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน และภาคประชาชน และขยายบทบาทขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ควบคู่กับการเสริมสร้างกลไกและกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัฒนธรรมประชาธิปไตย
ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
4. เป้าหมาย
(1)
เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพคน
(2)
เป้าหมายการพัฒนาชุมชนและแก้ปัญหาความยากจน
(3)
เป้าหมายด้านเศรษฐกิจ
(4)
เป้าหมายการสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
(5) เป้าหมายด้านธรรมาภิบาล
5. ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกาภิวัตน์ที่ปรับเปลี่ยนเร็วและสลับซับซ้อนมากขึ้น
ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวและกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศอย่างเหมาะสมในระยะแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 10 ดังนี้ (1)
ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคนและสังคมไทยสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ (2)
ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมให้เป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ (3)
ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืน (4)
ยุทธศาสตร์การพัฒนาบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ
และการสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (5)
ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการประเทศ
6. การขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10
โดยที่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตทั้งในระดับบุคคล
ครัวเรือน ชุมชน ธุรกิจเอกชน และรัฐ
ซึ่งเน้นการปฏิบัติเป็นแนวทางหลักในการบรรลุวัตถุประสงค์ ดังนั้น
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 จึงให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแผนฯ
ไปสู่การปฏิบัติ
ซึ่งทุกภาคส่วนจะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาและนำเอาแนวทางตาม 5
ยุทธศาสตร์ของแผนฯ มาแปลงเป็นแผนปฏิบัติการ
โดยภาครัฐจะดำเนินการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน
ชุมชนก็จะใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ ในแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 10 ได้กำหนดแนวนโยบายและมาตรการของรัฐที่สำคัญ
รวมทั้งแนวทางด้านการวิจัยและพัฒนาที่จะต้องดำเนินการในช่วงแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 10 ไว้ด้วยแล้ว
เรื่องที่ 24
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต
พ.ศ.
. |
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ 5 (ฝ่ายการต่างประเทศ การศึกษา การศาสนาและวัฒนธรรม)
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) เป็นประธานกรรมการ
ที่อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการถอนร่างพระราชบัญญัติการศึกษานอกโรงเรียน
พ.ศ.
. ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปได้
และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต พ.ศ.
.
และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามผลการประชุมระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้
กระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า
1.
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2547 ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติการศึกษานอกโรงเรียน พ.ศ.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณานั้น
เห็นควรให้ถอนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
โดยขอเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต พ.ศ. .... แทน
เพื่อให้สามารถตอบสนองหลักการและแนวทางการจัดการศึกษาในลักษณะการศึกษาตลอดชีวิต
โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมที่ชัดเจน
และสามารถนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
2.
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
กำหนดให้การจัดการศึกษายึดหลักการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม
แต่ไม่มีบทบัญญัติใดที่กำหนดถึงแนวทางการจัดและกลไกการบริหารและการจัดการศึกษาที่ชัดเจน
ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ตามหลักการที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการศึกษานอกระบบ
และการศึกษาตามอัธยาศัย
จึงจำเป็นต้องมีพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต
เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคส่วนต่าง ๆ
ของสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ตลอดชีวิต
|
3.
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน
ได้ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองของกระทรวงศึกษาธิการ
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
คณะเจรจาข้อตกลงและการประเมินการพัฒนากฎหมายของส่วนราชการ คณะที่ 9
และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 (ฝ่ายการต่างประเทศฯ )
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 5 (ฝ่ายการต่างประเทศฯ) รวม 3 ครั้ง ในวันที่ 23 มกราคม 2549 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549 และวันที่ 15
กุมภาพันธ์ 2549 โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ
(นายพีระพันธุ์ พาลุสุข)
เป็นประธานซึ่งที่ประชุมมีมติให้ปรับแก้ไขและเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวใน
3 ประเด็น คือ
3.1
ประเด็นการลดหย่อนและยกเว้นภาษี/สิทธิประโยชน์/เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่ประชุมมีมติให้ปรับแก้ไข มาตรา 11 โดยให้ตัดเรื่องการลดหย่อน
การยกเว้นภาษีและเงินให้กู้ยืมทางการศึกษาออก
และให้คงประเด็นสิทธิประโยชน์ โดยเติมคำว่า ตามที่กฎหมายกำหนด
ต่อท้าย และเพิ่มเติมข้อความวรรคท้ายว่า หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการจัดสรรทรัพยากรและการให้สิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดโดยไม่ขัดแย้งหรือแย้งกับกฎหมาย
3.2
ประเด็นความซ้ำซ้อน โดยการกำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต
ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
การจัดการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่ประชุมมีมติให้ปรับแก้ไขมาตรา 17
เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต
3.3
ประเด็นสถานภาพและโครงสร้างองค์กร ที่ประชุมมีมติให้ปรับแก้ไขมาตรา 18
โดยให้ตัดต่อความในวรรคแรกความว่า
โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต มีฐานะเป็นอธิบดี
เป็น
ผู้บังคับบัญชาข้าราชการและบริหารราชการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต
และตัดอำนาจหน้าที่ข้อ 4 และข้อ 9 รวมทั้งตัดข้อความในวรรคท้ายออก
3.4
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีข้อสังเกตว่า การศึกษาตลอดชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ
การพิจารณาโครงสร้างของหน่วยงานที่รับผิดชอบงานการศึกษาตลอดชีวิต
จึงควรกำหนดให้เหมาะสมกับภารกิจที่ต้องการความคล่องตัว
มีประสิทธิภาพสูงในการบริหารจัดการ โดยที่ปัจจุบันกฎหมายมีข้อจำกัด
ไม่เปิดช่องให้ดำเนินการจัดให้เหมาะสม และ ผู้แทนสำนักงาน ก.พ.
มีข้อสังเกตว่า หากจะให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต ตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
มีกฎหมายบังคับใช้ดังเช่นหน่วยงานอื่นในกระทรวงศึกษาธิการ
จึงควรแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.
2546 ให้รองรับไว้ด้วย
E-Searching
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaigov.go.th |