ความคิดไร้ขีดจำกัด : Ideas are Free

            OPDC  News  ได้รายงานสรุปสาระสำคัญของการอบรมหลักสูตร   “การนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ   (Tool
Kits : Making Strategy Work)”
ในหัวข้อต่าง ๆ ไปแล้ว ยังคงเหลืออีก 1 หัวข้อที่น่าสนใจ ซึ่งวันนี้ OPDC News จะมานำเสนอกัน นั่นคือ “ความคิดไร้ขีดจำกัด (Ideas are Free)” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2549 ณ ห้องประชุม 501 - 502 ชั้น 5 สำนักงาน ก.พ.ร. โดยมี ผศ.ดร.วิชัย อุตสาหจิต เป็นวิทยากร

             การอบรมหลักสูตร   “การนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ  
(Tool Kits : Making Strategy Work)” 
  นั้น   จัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการ
สำนักงาน ก.พ.ร. มีความรู้ความเข้าใจในนวัตกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดเครื่องมือการฝึกอบรม "หลักสูตรการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ (Tool Kits : Making Strategy Work)" และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยการเรียนรู้เทคนิคและวิธีการในการเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ในเรื่องต่างๆ กับส่วนราชการและจังหวัด ทั้งในด้านเทคนิคการถ่ายทอดความรู้ การจัดทำเอกสารและสื่อประกอบการบรรยาย เป็นต้น 
             
             ผศ.ดร.วิชัย  อุตสาหจิต  กล่าวว่า  แนวคิด  Ideas are Free  หรือ ความคิดไร้ขีดจำกัด นั้น เป็นการกระตุ้นและรวบรวมความคิด      ซึ่งการอบรมในหัวข้อนี้จะเป็นการนำเสนอแนวคิดและทฤษฎีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการนำกระบวนการ กระตุ้นและรวบรวมความคิดไปใช้ พลังของความคิดในแนวทางของ Ideas are Free  จะเน้นไปที่ความเข้าใจปัญหาและการเห็นโอกาสใน การแก้ไขซึ่งหากเราสามารถเข้าใจและยอมรับในปัญหามองเห็นโอกาสและหาช่องทางในการจัดการกับปัญหาดังกล่าวก็จะทำ ให้เราสามารถนำความคิดออกมาใช้อย่างเป็นประโยชน์ ซึ่งผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการกระตุ้นและรวบรวมความคิดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ก็คือ            
           
กระบวนการทำงานได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
            ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด เพราะหากคนที่ทำงานในหน้าที่นั้นสามารถมองเห็นปัญหาและคิดเองได้ ก็จะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
             ความขัดแย้งในการทำงานลดลง เพราะการขัดแย้งจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา และเมื่อมีการประสานและทำงานเป็นทีมแล้ว ความขัดแย้งก็จะน้อยลง
             คนทำงานมีความคิดสร้างสรรค์ มีส่วนร่วม มีแรงจูงใจ

 การอบรมหัวข้อ  “ความคิดไร้ขีดจำกัด  (Ideas are Free)”  นี้ได้
ี้้กล่าวถึง   กระบวนการกระตุ้นและรวบรวมความคิด  ที่ประกอบด้วย
7 ขั้นตอน ซึ่งสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ของแต่ละองค์กรได้ โดยกระบวนการดังกล่าวจะนำไปสู่  ความเป็นเลิศ
ใน 3 ด้าน คือ  ผลงาน  วัฒนธรรม   และ  ทีมงาน ซึ่ง รากฐานสำคัญ  ที่จะนำไปสู่ความเป็นเลิศดังกล่าวได้  ก็คือ
            1) ผู้นำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการ และมีส่วนสำคัญในการผลักดัน และควรเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ
            2) นโยบาย ซึ่งบางครั้งการนำระบบนี้ไปใช้ต้องมีการประกาศเป็นนโยบายชัดเจน เพื่อให้ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน
            3) ปัจจัยสนับสนุน อาทิ เวลา เงิน อุปกรณ์/เครื่องมือต่าง ๆ เป็นต้น
            สำหรับ 7 ขั้นตอนของ กระบวนการกระตุ้นและรวบรวมความคิด ประกอบด้วย
            1. การกระตุ้นและเปิดรับความคิด
            2. การดำเนินการตามขั้นตอนการเสนอความคิด
            3. การประเมินความคิด และให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการปรับปรุง
            4. การนำความคิดไปปฏิบัติ
            5. การทบทวนเพื่อขยายผลความคิด
            6. การยกย่อง ชมเชย และประกาศความสำเร็จ
            7. การวัดผล ทบทวน และปรับปรุง            ทั้งนี้ ในกระบวนการกระตุ้นและรวบรวมความคิดให้เกิดผลสัมฤทธิ์นั้น จะต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ซึ่งจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นอย่างสอดประสานกันในระหว่างดำเนินการกระตุ้นและรวบรวมความคิด โดยปัจจัยดังกล่าวสามารถถ่ายทอดออกมาเป็น วงล้อของปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นและรวบรวมความคิด ซึ่งเกี่ย
วข้องและเชื่อมโยงกัน ดังนี้

            1. การสื่อสาร สร้างสัมพันธ์            การสื่อสาร เป็นการส่งข้อมูลผ่านสื่อ จากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร โดยมีสิ่งแวดล้อมและสิ่งรบกวนต่าง ๆ เป็นตัวแปรในการรับ - ส่งข้อมูล ทั้งนี้ ผู้รับสารก็สามารถเป็นผู้ส่งสาร (รอง) ได้ด้วยการส่งปฏิกิริยาตอบกลับมายังผู้ส่งสาร รูปแบบการสื่อสาร แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก คือ
            
- วัจนภาษา (Verbal) คือ ภาษาพูด ภาษาเขียน
            
- อวัจนภาษา (Nonverbal) คือภาษาที่ไม่ใช่ภาษาพูดและภาษาเขียน เช่น ภาษากาย กิริยาท่าทาง น้ำเสียง กลิ่น การแต่งกาย ทรงผม เป็นต้น
            
- กราฟฟิค (Graphic) เช่น รูปภาพ โมเดล กราฟ ภาพวิดีโอ ภาพตัดต่อ Clip Animation เป็นต้น  ในการสื่อสารนั้น หากวัจนภาษาและอวัจนภาษาไม่ตรงกันหรือขัดกัน เช่น ข้อความที่พูด มีความหมายอย่างหนึ่ง แต่น้ำเสียงที่ใช้นั้น สื่อความหมายตรงกันข้าม ผู้ฟังจะเชื่อและให้ความสำคัญกับอวัจนภาษามากกว่า

            ทั้งนี้ ในการสื่อสารควรเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับลักษณะของผู้รับสาร ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามเพศ อายุและประสบการณ์ ความใกล้ชิด โอกาส/สถานการณ์ การอบรมเลี้ยงดูแล การศึกษา ตำแหน่งและฐานะทางสังคม เป็นต้น เช่น การนำภาษาของนักวิชาการไปใช้สื่อสารกับพนักงานระดับปฏิบัติการในโรงงาน ก็จะทำให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผล

            การสื่อสารในฐานะผู้นำหรือตัวแทนของหน่วยงาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดนั้น สิ่งสำคัญคือ การปลูก “ต้นกล้า” ความสัมพันธ์ หรือการสื่อสารเพื่อสร้างสัมพันธ์ ซึ่งจะต้องอาศัยระยะเวลาและความสม่ำเสมอ โดยการสร้างความประทับใจ เพื่อเปิดโอกาสให้คนอยากจะสื่อสาร การแสดงความใส่ใจ สนใจในเรื่องของคน ๆ นั้นบ้าง และการสานสายสัมพันธ์

            การสื่อสารเพื่อให้เกิดพฤติกรรมนั้น จะต้องทำให้เกิดความเชื่อภายในตัวบุคคล เมื่อความเชื่อเปลี่ยน พฤติกรรมก็จะแสดงออกมา ซึ่ง ผศ.ดร.วิชัยได้เสนอแนวคิดและตัวอย่างที่อธิบายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากความเชื่อ โดยมีกระบวนการคือ “เชื่อ --> ชื่นชม --> ชอบ --> ใช้” กล่าวคือ ต้องทำให้เกิดความเชื่อ และชื่นชมในแนวคิด/ความคิดนั้น และชอบในความเชื่อนั้น และนำสู่การแสดงออกโดยการนำไปใช้ กล่าวโดยสรุปคือ พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมาจะสอดคล้องกับความเชื่อของตน ดังนั้น ในการปลูกฝังค่านิยม วัฒธรรม หรือพฤติกรรมของคนในองค์กร จะต้องทำให้คนในองค์กรเกิดความเชื่อในค่านิยม วัฒธรรม และพฤติกรรมนั้น ๆ เสียก่อน   2. เปิดใจรับฟัง ให้ข้อมูลย้อนกลับ  ปัจจัยที่ 2 นี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของ “การฟัง” ซึ่งการสนทนา โดยเพราะเพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดนั้น ควรเริ่มต้นด้วยการฟัง โดยลดปริมาณสิ่งรบกวนในระหว่างการสื่อสาร พูดให้น้อยลง สนใจในรายละเอียดทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา ถามอย่างสุภาพเมื่อต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ทวนสาระที่ได้ยินเพื่อยืนยันความถูกต้อง   นอกจากนี้ การให้ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์ จะช่วยสร้างบรรยากาศการสื่อสารที่สัมฤทธิ์ผล และนำมาซึ่งโอกาสในการปรับปรุง โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์สามารถทำได้โดย การใช้คำพูดเพื่ออธิบายรายละเอียด มากกว่าเพื่อบอกว่าดีหรือไม่ดี การแบ่งปันความคิดเห็น ไม่ออกคำสั่ง การให้ข้อมูลที่ชัดเจนในปริมาณที่เหมาะกับการรับทราบแต่ละครั้ง การให้ข้อมูลย้อนกลับทันเวลาเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ทันการณ์ การระวังไม่ให้ผู้รับต้องรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าคนอื่น

            3.    การให้คำแนะนำและการให้กำลังใจ             ผศ.ดร.วิชัยได้ยกตัวอย่างหนังสือเรื่อง “Whale Done!”     ของ   Ken   Blanchard   ที่กล่าวถึงการสร้าง
ความสัมพันธ์ในเชิงบวกด้วย   การชมและการตำหนิอย่าง
มีศิลปะ กล่าวคือ ในการตำหนินั้นอย่าเพิ่งตำหนิตรง ๆ
แต่ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1) บอกถึงผลลัพธ์ที่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น 2) ถ้าเหมาะสม ให้ยอมรับผิดในบางส่วน เพื่อแสดงถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบ 3) อธิบายสิ่งที่จะต้องทำต่อไป ดีกว่าที่จะตำหนิอย่างเดียวแล้วไม่มีทางออก 4) แสดงความมั่นใจและความไว้วางใจว่าคราวต่อไปจะไม่มีการผิดผลาดอีก

            สำหรับการชมนั้น ก็ต้องมีวิธีการชมอย่างมีศิลปะ คือ หากมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น หรือเขาทำดีแล้ว ก็สามารถชมได้เลย ไม่ต้องรอ ซึ่งวิธีการชมอย่างมีศิลปะนั้น ได้แก่ ในการชมจะต้องเฉพาะเจาะจงเรื่องที่จะชมด้วย การแบ่งปันความรู้สึกชื่นใจ/ดีใจต่อการได้รับคำชม การสนับสนุนและให้กำลังใจเพื่อให้ทำดีต่อไป และสิ่งสำคัญคือ ต้องชมอย่างจริงใจ            4. การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์            การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์นั้น จะต้องมีปัจจัยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1) การมีความเชี่ยวชาญ ความสามารถ และเทคนิควิธี ในการทำงาน 2) การมีเวลาและโอกาสในการสืบหา ค้นคว้า และสำรวจ 3) มีความตั้งมั่นและผูกพัน คือการมี passion ในการทำงาน หรือ ทำงานอย่าง “เมามัน” จนไม่รู้เวลา ไม่อยากเลิก ซึ่งการผสมผสานกันของ 3 องค์ประกอบจะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้            ขั้นตอนในการคิดสร้างสรรค์ มี 4 ขั้นตอน คือ 1) เตรียมความพร้อม (Preparation) โดยการสร้างความเชี่ยวชาญ ศึกษาสิ่งที่ทำอยู่ให้มีความชำนาญ มีกลวิธีในการทำงาน  2) บ่มเพาะความคิด (Incubation) ซึ่งต้องใช้เวลา และบางครั้งต้องสร้างบรรยากาศ เพื่อให้เกิดความคิดไปเรื่อย ๆ  3) คิดได้ ไอเดียบรรเจิด (Illumination)  4) ตรวจสอบความคิด (Verification) ว่าทำได้จริงหรือไม่            การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ต้องใช้เวลา สิ่งสำคัญก็คือ ต้องเปิดใจกว้าง รับมุมมองใหม่ ๆ ฝึกคิด/ลองทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ ลองทำงานประจำโดยใช้วิธีที่แตกต่างจากเดิม ลดความยึดติดกับกติกา หรือระเบียบปฏิบัติบางอย่างที่ขาดความยืดหยุ่น และสร้างความมั่นใจในความสามารถของตนเอง            5. การให้สิ่งเสริมแรงและรางวัล            สิ่งเสริมแรงและรางวัลนั้นมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ รางวัล (Reward) เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา สิ่งตอบแทนการทำงาน แรงงาน เวลาที่ใช้ไปในการทำกิจกรรม ในขณะที่ สิ่งเสริมแรง (Reinforcement) คือ สิ่งเร้าที่เมื่อได้ตามหลังพฤติกรรมใดแล้ว จะทำให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่ เช่น เงิน คำชม ซึ่งพฤติกรรมนั้นจะคงอยู่นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมูลค่าหรือความแรงของสิ่งเสริมแรงนั้น

            ดังนั้น การให้สิ่งเสริมแรงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด จะต้องให้อย่างสม่ำเสมอ และให้หลังจาการเกิดพฤติกรรมทันที เพื่อให้ผู้รับตระหนักถึงความเชื่อมโยงของสิ่งเสริมแรงที่ได้รับ กับพฤติกรรมที่กระทำ นอกจากนี้ ต้องให้สิ่งเสริมแรงทางบวกเมื่อต้องการเพิ่มพฤติกรรมที่พึงประสงค์ และให้สิ่งเสริมแรงทางลบเมื่อต้องการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์

            การให้สิ่งเสริมแรงเพื่อปรับพฤติกรรมของคนนั้น มี 2 แนวทาง คือ  1) หากต้องการเพิ่มพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ทำได้โดยการให้สิ่งเสริมแรงทางบวก เช่น คำชม โบนัส ฯลฯ หรือการถอดถอนสิ่งเสริมแรงทางลบออก เช่น คำต่อว่า ตำหนิ ฯลฯ  2) หากต้องการลดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ สามารถทำได้โดยการให้การทำโทษ หรือถอดถอนการทำโทษทางลบ ซึ่งก็คือการถอดถอนสิ่งเสริมแรงทางบวกนั่นเอง

            6. การกระตุ้นแรงจูงใจ            พื้นฐานของแรงจูงใจ เริ่มจากการมีความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง จนเกิดเป็นแรงกดดัน และหาพฤติกรรมเพื่อตอบสนอง และสุดท้ายคือการทำพฤติกรรมเพื่อให้ความต้องการได้รับการตอบสนอง ดังนั้น การกระตุ้นแรงจูงใจจึงต้องทำให้ผู้ที่ถูกระตุ้นนั้นเกิดความต้องที่ต้องได้รับการตอบสนอง

            ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจนั้นมีหลายทฤษฎี ซึ่ง ผศ.ดร.วิชัย ได้ยกตัวอย่างทฤษฎีพื้นฐานที่รู้จักกันดีคือ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ ของ Maslow ที่กล่าวว่า คนเรามีความต้องการเป็นลำดับขั้น เมื่อลำดับขั้นที่ต่ำกว่า ได้รับการตอบสนอง มนุษย์จึงจะให้ความสำคัญและให้ความสนใจกับความต้องการในลำดับขั้นที่สูงขึ้นไป โดยลำดับขั้นของความต้องการในทฤษฎีนี้คือ

            1) ความต้องการด้านกายภาพ (Physiological) เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ เช่น ปัจจัย 4
            2) ความปลอดภัย (Safety)
            3) ความต้องการทางสังคมหรือความรัก (Social)
            4) การเห็นคุณค่า (Esteem) ทั้งตัวเองเห็นคุณค่าในตัวเอง และคนอื่นเห็นคุณค่าในตัวเรา
            5) การตระหนักรู้ (Self-Actualization) รู้ถึงความเป็นจริงของชีวิต

            อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคน ความต้องการอาจจะไม่เป็นลำดับขั้นตามทฤษฎีนี้ แต่อาจมองข้ามความต้องการขั้นพื้นฐานไป ไปสู่จุดของการเห็นคุณค่า หรือการตระหนักรู้ เช่น ศิลปิน จิตรกร เป็นต้น            นอกจากนี้ ยังมีการยกตัวอย่างจากทฤษฎีอื่น ๆ เช่น Theory X and Theory Y ของ McGregor ที่กล่าวถึงมุมมองของผู้บริหารที่มีผลต่อการเลือกใช้วิธีการสร้างแรงจูงใจ Two-Factor Theory ของ Herzberg ที่กล่าวถึง ปัจจัยอนามัย (Hygiene factors) กับปัจจัยจูงใจ (Motivator factors) โดยปัจจัยอนามัย เช่น ความสามารถของหัวหน้างาน การได้รับค่าตอบแทน นโยบายบริษัท สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความมั่นคงในงาน ฯลฯ จะทำได้เพียงลดความไม่พึงพอใจในงานให้เหลือในระดับที่หมดความไม่พึงพอใจเท่านั้น แต่ไม่สามารถสร้างให้เกิดความพึงพอใจได้ ซึ่งปัจจัยที่จะสร้างให้เกิดความพึงพอใจคือ ปัจจัยจูงใจ เช่น โอกาสในความก้าวหน้า และการเติบโตในงาน การยอมรับ ความรับผิดชอบ ความสำเร็จ ฯลฯ            อีกทฤษฎีหนึ่ง คือ Goal-Setting Theory ของ Locke ที่กล่าวถึงการกำหนดเป้าหมายที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจที่ดีในการสร้างผลงานให้ดีขึ้น เช่น เป้าหมายที่เร้าใจ กล่าวคือ มีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความยาก-ง่ายพอสมควร การกำหนดตัวชี้วัด หรือ KPI ต้องไม่เป็น “Kill a Person Indicator” และต้องมี feedback เป็นระยะ ๆ เพื่อที่จะสามารถปรับตัวได้ทัน
            
7. การสร้างความไว้วางใจ            ความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างบรรยากาศในทำให้คนคิด และแสดงความคิด และเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานร่วมกันของสมาชิกในองค์กร ซึ่ง ปัจจัยในการสร้างความไว้วางใจ ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์/มีศักดิ์ศรี (Integrity) ความสามารถ (Competence) ความสม่ำเสมอ (Consistency) ความภักดี (Loyalty) และ ความเปิดเผย ตรงไปตรงมา (Openess)

                                         
            8. การส่งเสริมการเรียนรู้
            การส่งเสริมการเรียนรู้จะช่วยกระตุ้นความคิดของคนได้ เพราะทำให้คนมีความสามารถและได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการกระตุ้นให้คนได้คิดนั้น ต้องส่งเสริมการเรียนรู้ในความรู้ทั้ง 2 ประเภท คือ ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit) และความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน (Tacit) และเมื่อหน่วยงานมี

ทั้ง Explicit Knowledge และ Tacit Knowledge โอกาสที่จะเกิดเป็นนวัตกรรม (Innovation) นั้น จะมีสูงมาก เพราะ Explicit Knowledge เปรียบเสมือนทฤษฎีวิชาการที่รู้ และ Tacit Knowledge เปรียบเสมือนประสบการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่จบการศึกษาใหม่ ๆ จะมี Explicit Knowledge มาก ในขณะที่ผู้ที่ทำงานมานานจะมีประสบการณ์ หรือ Tacit Knowledge มาก ซึ่งเมื่อ 2 ส่วนนี้มาเจอกันจะเกิดเป็น Innovation ได้ในที่สุด

            สำหรับบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ได้แก่ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การร่วมมือ ร่วมใจ การสนับสนุน ส่งเสริม ความไว้วางใจ และการเปิดใจรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุง

    
            9. มุ่งปรับปรุง
            ทุกกระบวนการทำงานจำเป็นต้องมีการติดตามประเมินผล เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง และพัฒนาต่อยอดเพื่อให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ ซึ่งกระบวนการติดตามประเมินผลนั้น สามารถทำได้ทั้งก่อนการดำเนินการ ระหว่างการดำเนินการ และหลังการดำเนินการ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การจัดทำบันทึกการเรียนรู้ (Learning Log) การจัดทำบันทึกผลการทำงาน เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรับปรุงแก้ไขกระบวนการทำงาน และส่งต่อการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งบทเรียนที่ได้รับจากข้อผิดพลาด และบทเรียนจากตัวอย่างที่ดีเพื่อนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ซึ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเป็นทั้งการต่อยอดความคิด และการย่นระยะเวลาการเรียนรู้
            ทั้งนี้ วงล้อของปัจจัยซึ่งจะช่วยกระตุ้นและรวบรวมความคิด ที่ ผศ.ดร.วิชัย ได้นำเสนอในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการนำแนวคิดเรื่อง การกระตุ้นและรวบรวมความคิดไปใช้เกิดผลสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะเกี่ยวข้องกับความคิดและพฤติกรรมของคน ที่ต้องให้กำลังใจและส่งเสริม ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ที่ปรากฏในวงล้อนี้สามารถเพิ่มเติมได้ ตามความเหมาะสมของสถานการณ์และสภาพแวดล้อมขององค์กร

                                                                                                                                             วสุนธรา กิจประยูร รายงาน