พัฒนาระบบราชการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
และ
ทำงานอย่างข้าราชการมืออาชีพ
แนวทางการทำงานจาก ประธาน ก.พ.ร. และ รองประธาน
ก.พ.ร.
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดกิจกรรมใหญ่เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระมหากษัตริผู้ทรงครองสิริราชสมบัติมายาวนานที่สุดกว่า 60 ปี โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีชื่อว่า งานเฉลิมพระเกียรติ
พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างของการพัฒนา
ระบบราชการไทย ที่จัดขึ้น ณ ห้องเพลนารี 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โดยมี รองนายกรัฐมนตรีโฆสิต
ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
ในฐานะประธาน ก.พ.ร. เป็นประธานการจัดงาน

ผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ประกอบด้วย
หัวหน้าส่วนราชการ กลุ่มบริหารการเปลี่ยนแปลงในกระทรวงต่างๆ
กลุ่มพัฒนาระบบบริหารของแต่ละส่วนราชการ ข้าราชการ นักวิชาการ
ผู้แทนรัฐวิสาหกิจ สื่อมวลชน ภาคเอกชนและองค์กรประชาชน
ที่มาร่วมรับฟังถึง
พระปรีชาสามารถและพระอัจริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ซึ่งปรากฏอยู่ในผลงานการวิจัยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสดำรงสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พุทธศักราช 2549 ที่สำนักงาน
ก.พ.ร. ร่วมกับ ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค และคณะ ดำเนินการศึกษาวิจัย
จนได้ออกมาเป็นหนังสือชุดเฉลิมพระเกียรติ 2 เล่ม คือ 9 แผ่นดินของการปฏิรูประบบราชการ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ

|
นอกจากนี้
การจัดงานเฉลิมพระเกียรติดังกล่าว
ยังเป็นโอกาสอันดีในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ
ในนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยยึดหลักการพัฒนาระบบราชการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รวมทั้งการปฏิบัติราชการแบบมืออาชีพ
เพื่อให้การปฏิบัติงานภาครัฐก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมอย่างยั่งยืน
ภายหลังจากการกล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานเฉลิมพระเกียรตในครั้งนี้
โดย ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์
เลขาธิการ ก.พ.ร. แล้ว รองนายกรัฐมนตรโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ
การพัฒนาระบบราชการตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้
ดังนี้ |
|
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานให้แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
นอกจากนี้
พระองค์ทรงริเริ่มแนวทางในการพัฒนาประเทศในลักษณะงานพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้พ้นความทุกข์ยาก
โดยทรงวางแนวทางที่ผนวกกับงานวิจัยที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
เพื่อนำมาขยายผลให้เข้ากับกระบวนงานที่ทันสมัย
ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
อันเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการในยุคปัจจุบัน
|
|
สำหรับข้าราชการก็ต้องปฏิบัติราชการโดยยึดประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก
ดังจะเห็นได้จากพระบรมราโชวาทเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน
ปี พ.ศ. 2543 ความว่า ข้าราชการผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน
จะต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยเต็มกำลังความสามารถ ด้วยอุดมคติ
ด้วยความเข้มแข็งเสียสละ
และระมัดระวังให้การทุกอย่างในหน้าที่เป็นไปอย่างถูกต้อง
และเที่ยงตรงเป็นกลาง ด้วยความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่า
การปฏิบัติตัว
ปฏิบัติงานของตนมีผลเกี่ยวเนื่องถึงประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมืองและของประชาชนทุกคน
ทั้งนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ใจความสำคัญในพระบรมราโชวาทนี้
มีสาระสำคัญ 3 เรื่อง คือ |
1. ความตั้งใจ
จะเห็นได้จากหลาย ๆ โครงการพระราชดำริที่ริเริ่มขึ้น
พระองค์ทรงใช้เวลานาน มีความตั้งใจและดำเนินการสืบเนื่อง
จนกระทั่งเกิดผล ซึ่งเป็นผลที่สามารถนำไปปรับใช้ได้
และเกิดประโยชน์แก่ผู้คนที่เกี่ยวข้อง
2. ระมัดระวัง
ไม่ว่าพระองค์จะทรงริเริ่มโครงการใด จะเป็นโครงการที่มีความถูกต้อง
มีความระมัดระวังให้เป็นไปตามที่ได้กำหนดหรือร่วมกันกำหนดขึ้น
แม้ว่าหลายโครงการจะมีความซับซ้อน ต้องอาศัยความร่วมมือ
และความชำนาญจากหลายฝ่าย ก็มีการดำเนินการอย่างระมัดระวัง
เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เกิดประโยชน์แก่ทุกหมู่เหล่าอย่างพร้อมเพียงถ้วนหน้ากัน
3. ประโยชน์ส่วนรวม
ในการดำเนินการต่าง ๆ นั้น สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม
จากพระบรมราโชวาทนี้จะเห็นว่า
อาศัยความตั้งใจเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ความตั้งใจนั้น
จะต้องมีความพากเพียรและความระมัดระวังในระหว่างดำเนินการด้วย
และที่สำคัญก็คือ จะต้องสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า ผลลัพธ์ที่ได้คือ ประโยชน์ส่วนรวม นั่นเอง
และนี่คือคุณลักษณะที่สำคัญยิ่งของข้าราชการ
|
ทั้งนี้
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่พระราชทานเนื่องในวาระต่าง ๆ
ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์และสอดคล้องสำคัญกับการพัฒนา
ซึ่งพระบรมราโชวาทเมื่อปี พ.ศ. 2543 นี้
เป็นพระบรมราโชวาทที่กล่าวถึงผู้ปฏิบัติโดยรวม
จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยกันเผยแพร่
สร้างความเข้าใจในหมู่ข้าราชการ
ซึ่งหากผู้ปฏิบัติสามารถดำเนินการให้สอดคล้องตามพระบรมราโชวาทดังกล่าว
ย่อมนำมาซึ่งพื้นฐานของสิ่งเรียกว่า ระบบ
สำนักงาน
ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกว่า
ระบบ
ซึ่งระบบราชการนั้นประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ
และจากพระบรมราโชวาทดังกล่าวจะเห็นว่า ระบบราชการจะตั้งมั่นลำบาก
หากข้าราชการไม่สามารถน้อมนำพระบรมราโชวาท
หรือไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอในการน้อมนำพระบรมราโชวาทมาปฏิบัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานระหว่างหลายสาขาวิชาชีพ
หรือระหว่างองค์กร
ซึ่งจะต้องมีการทำงานอย่างเป็นระบบ |
|
ดังนั้น
ระบบ คือ ความเชื่อมโยง การทำงานร่วมกัน ซึ่งวัตถุประสงค์ใหญ่ของระบบ
คือ ต้องเชื่อมโยงกัน ทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
ทั้งนี้ ปัญหาหลักของการบูรณาการในการปฏิบัติ คือ
ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน ทำให้การทำงานไม่เป็นระบบ
ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ ซึ่งระบบราชการไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เพราะหัวใจสำคัญของระบบราชการคือ ประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น
ประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักตั้งแต่ต้นว่า
ภารกิจทุกหน่วยล้วนตอบสนองวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายร่วมกัน
ในแง่ของการปฏิบัตินั้น
รัฐบาลชุดปัจจุบันได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในกลไกการปฏิบัติงานของรัฐ
ซึ่งที่กล่าวว่า ปรับใช้ เนื่องจาก
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเพียงปรัชญา
ผู้ใช้ต้องเป็นผู้ปรับปรัชญาเพื่อให้เกิดผล ดังนั้น
ปรัชญานี้จึงใช้ได้ทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือระดับตำแหน่งใด
อีกทั้งยังมีประโยชน์กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสัมคม
รวมไปถึงระดับครอบครัวและระดับบุคคล ประเด็นอยู่ที่ จะปรับอย่างไร
ให้เหมาะสมกับตัวเรา และสอดคล้องตามเป้าประสงค์ของชีวิต
สำหรับภาคราชการนั้น
การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ในทางปฏิบัติ ขอให้ยึดหลัก 4 ป. ของนายกรัฐมนตรี
คือ
1. โปร่งใส
ในการปฏิบัติราชการ เรื่องความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้
เพราะภารกิจสำคัญของรัฐคือ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมฃ
2. เป็นธรรม
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่กล่าวไว้ข้างต้น
มีความตอนหนึ่งว่า การปฏิบัติต้องระมัดระวัง
ให้การทุกอย่างในหน้าที่เป็นไปอย่างถูกต้อง
และเที่ยงตรงเป็นกลาง ดังนั้น
สิ่งนี้จึงเป็นหลักยึดในการปฏิบัติราชการ
3. ประหยัด
เราต้องตระหนักไว้อยู่เสมอว่า สิ่งที่เราดำเนินการอยู่
เป็นเงินภาษีอากรของประชาชน เราอยู่ได้เพราะได้รับความไว้วางใจ
และประชาชนเชื่อว่าระบบราชการจะสนองตอบต่อประโยชน์ส่วนรวม
4. ประสิทธิภาพ
ในหลายปีที่ผ่านมา ทุกส่วนราชการทุกหน่วยได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ซึ่งประสิทธิภาพเป็นส่วนที่ได้รับการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัด
จึงเป็นเรื่องที่น่านิยมและสมควรแก่การยกย่อง
และควรดำเนินการสืบเนื่องต่อไป

ทั้งนี้
การปรับใช้เศรษฐกิจพอเพียงในระบบราชการนั้น ควรใช้ทั้ง 4 ป.
ซึ่งการที่จะทำให้ได้ครบทั้ง 4 ป.
จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้และคุณธรรมกล่าวคือ
จะใช้ความรู้อย่างเดียว หรือความปรารถนาดีตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ
ต้องมีคุณธรรม ความซื่อสัตย์ ความเพียร กำกับด้วย ดังนั้น
การปฏิบัติตามหลัก 4 ป.
จึงต้องใช้ทั้งความรู้และคุณธรรมควบคู่กันไป
บางครั้งความพยายามที่จะเร่งให้เกิดประสิทธิภาพอาจขัดแย้งกับประเด็นอื่น
ๆ เช่น ความโปร่งใส หรือความประหยัด ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าต้องการให้งานมีประสิทธิภาพอาจต้องทุ่มเงิน
แต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแล้วต้องมีประสิทธิภาพในความประหยัดด้วย
ดังนั้น จึงขอให้คิดว่า
จะทำอย่างไรจึงจะสามารถปรับใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยให้มีครบทั้ง 4
ป. พร้อมกันได้ ซึ่งต้องอาศัยความรู้และคุณธรรมในการดำเนินการ
และต้องมีเครื่องมือในการทำงาน ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร.
ได้พยายามขอความร่วมมือกับส่วนราชการต่าง ๆ
ในการใช้เครื่องมือการบริหารจัดการสมัยใหม่
ซึ่งเราต้องเลือกเครื่องมือมาปรับใช้ให้ถูกต้อง กล่าวคือ
นำเครื่องมือเหล่านั้นมาปรับใช้กับหลัก 4 ป. ซึ่งก็คือ
ปรับใช้ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง
ทั้งนี้
งานต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบซึ่งเรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
นอกจากการปฏิบัติราชการเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนแล้ว
อีกเรื่องที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ คือเรื่องของ โลกาภิวัตน์
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อยู่เหนือการควบคุม
และเราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อที่จะสามารถรู้ทันโลกาภิวัตน์ได้
|
|
ดังนั้น
ระบบราชการจึงมี 2 เรื่องใหญ่
ๆ ได้แก่ เรื่องแรกเป็นเรื่องของ
ความเป็นอยู่ของประชาชน ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
เป็นเรื่องที่ทำกันมานานและต้องทำต่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน คือ จังหวัด
ความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดูแล
ในขณะเดียวกัน
ระบบราชการต้องดูแลให้สามารถอยู่ได้ในยุคโลกาภิวัตน์
ซึ่งเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น
หลบไม่ได้ ทำได้เพียงวิธีเดียวคือ การปรับตัว
ซึ่งการปรับตัวในยุคโลกาภิวัตน์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการผนึกกำลังระหว่างรัฐบาลกับเอกชน
ดังนั้น วิธีการทำงานระหว่างรัฐและเอกชน
จึงต้องเป็นวิธีการที่ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน
เพื่อให้ตัวเองมีความสามารถสูงขึ้น และที่สำคัญคือ
เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
และความเข้มแข็งของประเทศชาติในการขับเคลื่อนและแข่งขันได้ในเวทีโลก |
ด้วยเหตุนี้
วิธีการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชนจึงต้องมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
โดยอยู่ภายใต้กรอบ ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ทำงานเชิงพันธมิตร
ไม่มีใครเป็นผู้นำหรือผู้ตาม ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อให้เรามีภูมิคุ้มกันที่พอเพียงต่อโลกาภิวัตน์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า
คำว่า พอเพียง ต้องอยู่ในทุก ๆ
วิธีคิดและสาระที่เป็นภารกิจของรัฐ
|
ด้านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รองประธาน
ก.พ.ร. ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง น้อมนำพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ
มาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติราชการของข้าราชการมืออาชีพ
โดยได้กล่าวถึงแบบอย่างของการเป็นข้าราชการมืออาชีพ
ตามแนวพระราชกรณียกิจและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ดังนี้
คุณสมบัติการเป็น
ข้าราชการมืออาชีพ
ประกอบด้วย |
|
1. มีอุดมการณ์
ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2471 อาชีพ ข้าราชการ
เป็นอาชีพที่เปิดให้กับประชาชน เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศ
โดยในสมัยรัชกาลที่ 7
ทรงพระราชทานพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรก
เพื่อให้ประชาชนชาวไทยสามารถเข้ามารับราชการได้
อาชีพข้าราชการจึงเริ่มจากเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพ
ทั้งนี้
ผู้ที่ตัดสินใจเลือกรับราชการจะต้องเริ่มจากการมีอุดมการณ์ที่ถูกต้อง
หรืออุดมการณ์ที่แน่วแน่ ยึดเป้าหมายใหญ่ คือ
ประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีปณิธานและมีอุดมการณ์อันแน่วแน่
ดังพระปฐมบรมราชโองการเมื่อครั้งขึ้นครองราชย์ที่ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
และตลอดระยะเวลา
60 ปีที่ทรงครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรชาวไทยทั้งปวง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าข้าราชการ ปณิธานของพระองค์พิสูจน์ได้ทุกวัน
ทุกชั่วโมง ทุกนาที นี่เป็นตัวอย่างของข้าราชการ
ที่ต้องพิสูจน์ตนเองทุกวินาที ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกเดือน
และทุกปี
ว่าเราได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนหรือไม่
2. ความเพียร ความอดทน
งานราชการไม่ใช่การทำงานที่เสร็จในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองวัน
นั่นคือเหตุผลของคำว่า permanent กล่าวคือ ข้าราชการต้องทำงานตลอด
โดยมีตัวตั้งเป็นอายุ เราสามารถประกอบอาชีพได้จนอายุ 60 ปี ดังนั้น
การเป็นข้าราชการมืออาชีพ จึงต้องมีความอดทน ความเพียร
เพราะงานที่ทำนั้น ไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ในเวลาอันสั้น
เงื่อนไขสำคัญของการรับราชการคือความต่อเนื่อง ยาวนาน
|
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่าง
ในการทรงงานด้วยความวิริยะอุตสาหะ และความเพียร
จะเห็นได้จากโครงการพระราชดำริหลายโครงการ
ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจ วางแผน ทดลอง
จึงจะประสบความสำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่น
โครงการขยายพันธุ์ปลานิลของญี่ปุ่น
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทดลองเพาะเลี้ยง ขยายพันธุ์
ซึ่งต้องใช้เวลาทดลองนานกว่าจะพิสูจน์ว่า
ปลานิลนั้นสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทย
ที่สำคัญคือต้องโน้มน้าวให้ประชาชนเข้าใจและรู้จัก
พระองค์ทรงร่วมกับกรมประมงเพาะพันธุ์
และขยายพันธุ์ในบ่อซีเมนต์ของสวนจิตรลดา
|
จนกระทั่งปี
พ.ศ. 2510
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้ขอพระราชทานพันธุ์ปลานิลเพื่อบริจาคแก่ชาวบังคลาเทศในช่วงวิกฤติขาดแคลนอาหาร
และพระองค์พระราชทานพันธุ์ปลานิลผ่านองค์การยูนิเซฟของสหประชาชาติ
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ
ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขอให้ข้าราชการได้อ่านเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำงานในฐานะเป็นข้าราชการมืออาชีพ
ที่ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ ความเพียรเป็นเงื่อนไขสำคัญ
3. การทำงานอย่างเป็นระบบ
คิดเป็นระบบ
ทำงานเป็นระบบ และมีเป้าหมาย ซึ่งงานราชการนั้น
แตกต่างจากงานเอกชนอย่างมีนัยสำคัญ คือ เวลาไม่ใช่ของเรา
แต่เวลาเป็นของราชการ ทรัพยากรเป็นของราชการ
วัสดุทุกอย่างเป็นของราชการ ดังนั้น เวลาทุกนาที
และเงินทุกบาททุกสตางค์ของการทำงานจึงเป็นของราชการ ดังนั้น
การทำงานจึงไม่ใช่การทดลอง ลองผิดลองถูก หรือไม่พอใจแล้วรื้อใหม่ได้
ด้วยเหตุนี้
ข้าราชการจึงถูกฝึกให้ทำงานอย่างเป็นขั้นตอน มีระบบ
ราชการมีกฎหมายเป็นพื้นฐาน มีกฎ ระเบียบ
ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและคิดว่างานราชการล่าช้า
ซึ่งในความเป็นแล้ว งานราชการต้องทำอย่างน้อย 2 คน ต้องมีพยาน
ไม่ใช่งานที่คนใดคนหนึ่งทำได้เพียงผู้เดียว ซึ่งเหตุผลของการมีพยาน
มีหลักฐานอ้างอิง ก็เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่า
ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎ ระเบียบ ใช้เงินอย่างประหยัด
มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
ดังนั้น
การทำงานอย่างมีระบบจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของราชการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการทรงงานเป็นระบบ
ไม่ว่าพระองค์ท่านจะมีพระราชดำริทำโครงการใดก็ตาม
พระองค์ต้องดำเนินการศึกษาหาข้อมูล หารือกับผู้รู้จากภูมิภาคต่าง ๆ
นักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และทรงพระราชดำเนินออกไปถึงแหล่ง
ถึงที่ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่สำคัญของข้าราชการ
เพราะในการทำงานอย่างเป็นระบบนั้นต้องลงไปในที่พื้นที่จริง สถานที่จริง
เพื่อเก็บข้อมูลจริง นอกจากนี้
พระองค์ทรงใช้ทฤษฎีที่มีพระราชดำรัสเป็นแนวทางให้กับข้าราชการ คือ
การเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ซึ่งเป็นแบบอย่างของการทำงานเป็นระบบ
เป็นตัวอย่างที่ข้าราชการต้องยึดถือเป็นแนวทาง
4. การทำงานแบบมีส่วนร่วม
|
ส่วนร่วมในที่นี้คือ
ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
งานราชการไม่ใช่งานที่คิดและทำคนเดียว อย่างน้อยสุด
ภายในสำนักงานไม่ว่าจะมีโครงการหรือแผนงานใดขึ้นมา
ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการระดมสมอง แล้วทำงานอย่างเป็นระบบ คือ
เก็บข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ และที่สำคัญ
ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
งานราชการส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งสิ้น
และเป็นงานที่มีผลกระทบทั้งในทางลบ และทางบวก
รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น
ข้าราชการจึงต้องทำงานแบบมีส่วนร่วมอยู่เสมอ
และเป็นไปไม่ได้ที่ข้าราชการจะทำงานแบบคิดคนเดียว ทำคนเดียว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการทำงานแบบมีส่วนร่วม
ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8
ที่ได้มีการถูดพูดถึงเรื่อง Area -
Function Participation นั้น จริงๆ แล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำงานในลักษณะนี้มาก่อน
พระองค์ทรงยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง และนำเอาหน้าที่ต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันดำเนินงาน |
|
ยกตัวอย่างเช่น
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล อดีตเลขาธิการ กปร.
ได้กล่าวในการบรรยายครั้งหนึ่งว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกับ ดร.สุเมธว่า
พระองค์ประสงค์ให้โครงการพระราชดำริเป็น Social
Lab เป็น ห้องทดลองทางสังคม
ยกตัวอย่างเช่น
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริห้วยฮ่องไคร้
ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทำงานแบบบูรณาการ โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง
และนำข้าราชการจากกระทรวง กรมต่าง ๆ มาทำงานร่วมกับประชาชน
เพื่อให้เกิดการพัฒนาของพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งการทำงานแบบมีส่วนร่วม
หรือแบบบูรณาการในลักษณะนี้ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับการทำงานแบบ
Hollywood Model
ที่มีการพูดถึงกันในปัจจุบัน นั่นคือ
การทำงานที่นำผู้รู้จริงและมีความชำนาญในเรื่องต่าง ๆ
มาทำงานร่วมกันในลักษณะของโครงการชั่วคราว
5. มีความสามารถในการสื่อความและทำความเข้าใจ
ข้าราชการทุกคนต้องฝึกทักษะในการสื่อความ
อันดับแรกในการพัฒนาข้าราชการ คือการฝึกทักษะในการเขียน ดังนั้น
ข้าราชการต้องเขียนหนังสือเก่ง กระชับ สั้น ตรงประเด็น และทำงานเร็ว
เขียนเอง พิมพ์เอง คำว่า ข้าราชการมืออาชีพ ไม่ว่าระดับใด
จึงต้องสามารถทำงานด้วยตนเอง และทำด้วยสมองของตนเองได้
ทั้งนี้
เรื่องของการสื่อความนั้น นอกจากการเขียนแล้ว ต้องทำงานด้วยใจ
มีความอดทน มีจิตเมตตาด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องของการสื่อสารทำความเข้าใจ
ดังจะเห็นได้จากพระบรมราโชวาทต่าง ๆ ของพระองค์ที่คอยสั่งสอน เตือนสติ
และชี้แนะแนวทางให้กับพสกนิกรเสมอมา
|
|
ยกตัวอย่างเช่น
กระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ.
2494 มีความตอนหนึ่งว่า ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฎตลอดมาว่า
ชาติใดเสื่อมสูญ ล้มหายตายไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม
แตกแยกเป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นพรรค เป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ
ประหัดประหารซึ่งกันและกัน
บางครั้งบางพวกถึงกลับเป็นไส้ศึกให้ศัตรู
มาจู่โจมทำลายชาติของตนนั้น
ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้นึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ
ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเมืองของเราไว้ให้คงอยู่
และถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัว
เพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ
เป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิจ
จึงขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายจงบำเพ็ญกรณีกิจแต่ละคน
ด้วยซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ
และอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้น
เป็นพุทธบูชาบรรพบุรุษ
ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้ |
พระบรมราโชวาทที่พระราชทานให้แก่ข้าราชการพลเรือน
ในปี พ.ศ. 2549 ความว่า ข้าราชการผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน
จะต้องมุ่งปฏิบัติภาระทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ เพ่งพินิจ ใช้ความรู้
ความคิด ความเฉลียวฉลาด และความรู้ผิดชอบชั่วดี เป็นที่ระลึกใจ วิจารณ์
ปรับปรุงตัว ปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพเสมอ งานที่ทำจึงจะสำเร็จ
สมบูรณ์ และก่อเกิดประโยชน์พึงประสงค์ เป็นความเจริญที่มั่นคง
ทั้งแก่คน แก่งาน และแก่ส่วนรวมพร้อมทุกสิ่ง
เหล่านี้คือแบบอย่างของการเป็นผู้นำที่มีความสามารถในการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนทุกหมู่เหล่าอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงนิพนธ์หนังสือให้แก่ประชาชน
ทีมีกุศโลบายในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ กุโลบายในเรื่องความเพียร ความมานะ
ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก รวมทั้งพระราชนิพนธ์เรื่อง
คุณทองแดง
ซึ่งเป็นกุโศลบายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เตือนสติแก่คนไทย
ทรงเรียกคุณทองแดงว่า หมาเทศ คือ เทศบาล และทรงอธิบายว่าหมาเทศ
หมาไทยต่างมีคุณสมบัติและคุณลักษณะที่โดดเด่นที่แตกต่างกัน
แต่การเป็นหมาเทศบาลเหมือนคุณทองแดงที่ไม่มีคนสนใจดูแล
เมื่อพระองค์ทรงรับดูแลและได้ประจักษ์ว่าคุณทองแดงได้แสดงความสามารถ
ฉลาด ไม่ด้อยกว่าหมาต่างประเทศ
นี่เป็นกุโศลบายในการที่จะทำให้คนไทยภูมิใจในความเป็นไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างในการ
ทำให้ดู อยู่ให้เห็น หรือ Leadership by Example ดังนั้น
การเป็นข้าราชการมืออาชีพจึงต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
จะปากว่าตาขยิบไม่ได้ เมื่อสั่งให้ลูกน้องทำแล้ว ตนเองก็ต้องทำด้วย
6. ความสมดุล
คือ
ความพอเพียง ความสอดคล้องกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน
ข้าราชการต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในทุก ๆ กิจกรรมที่ทำ
ต้องดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ไม่มาก ไม่น้อย ไม่เกิน และไม่ขาด
อาจฟังดูยาก แต่ถ้าเริ่มทำเป็นกิจนิสัยก็ไม่ใช่เรื่องยาก
|
แนวคิดในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแบบอย่างทั้งในการดำรงชีวิตและการทำงาน
เราไม่สามารถแยกระหว่างความดีและความเก่ง
ไม่สามารถบอกว่าเก่งอย่างเดียวได้
งานราชการไม่สามารถบอกว่าเร็วโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
เพราะเวลาและเงินไม่ใช่ของเรา
และผลที่เกิดขึ้นมีผลกระทบอย่างมากกับประชาชน
ข้าราชการจึงต้องรอบคอบ พิจารณาในทุกด้าน
ทั้งการดำรงชีวิตของตัวเองที่พอเพียง พึ่งตนเองได้ มีเหตุผล
และการทำงานที่ต้องมีการวิเคราะห์
ผู้ที่มุ่งมั่นจะรับราชการ
มีปณิธานแน่วแน่ที่จะมีอาชีพข้าราชการ ก็ต้องเสียสละ
ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ
และต้องพิสูจน์ตนเองอยู่ทุกวินาที ดังนั้น
การดำรงชีวิตอย่างพอเพียงจึงเป็นเงื่อนไขของการเป็นข้าราชการ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้ฝากถึงข้าราชการว่า
ชีวิตของเราไม่ได้มีแต่งาน เรายังมีครอบครัว
และเพื่อนฝูง จึงต้องดำรงชีวิตอย่างสมดุลด้วย
พระบาทสมเด็จ |
|
|
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการดำรงชีวิตที่พอดีมีสมดุล
พระองค์ทรงสนพระทัยในทุกเรื่อง ทั้งศิลปะ กีฬา เทคโนโลยี
|
ดังนั้น
ความสมดุลในการดำรงชีวิต ไม่ใช่ทำงานเพียงอย่างเดียว
แต่เราสามารถพักผ่อน เล่นกีฬา เล่นดนตรี วาดภาพ
หรือมีกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ ได้
ซึ่งการดำรงชีวิตอย่างสมดุลจะทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์
คิดอย่างสร้างสรรค์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เรื่องของศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวโดยเฉพาะในช่วงมืดของชีวิต
บางครั้งเราอาจต้องเผชิญกับปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้
อยู่ท่ามกลางอุปสรรคต่าง ๆ หากเรายึดมั่นในศาสนา
ก็จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ช่วยให้เราเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
ช่วยให้เราคิดและเดินทางได้อย่างถูกต้อง
|
|
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปปิดท้าย
ถึงแนวทางการเป็น
ข้าราชการมืออาชีพว่า ขอให้ข้าราชการยึดมั่นอุดมการณ์ มีความเพียร
ความขยัน อดทน และอุตสาหะในการประกอบอาชีพ คิดเป็นระบบ
ทำงานเป็นระบบ มีหลักฐานในการทำงาน
ขอให้สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน
สื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน
มีความอดทนในการอธิบายให้ผู้คนรอบข้างเข้าใจถึงเหตุการณ์
งานที่ทำ และขอให้มีชีวิตอย่างสมดุล มีชีวิตที่สมบูรณ์
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และใช้โอกาสในการพัฒนาตนเอง มีศักยภาพ
เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้วันสุดท้ายเป็นวันที่สมบูรณ์ที่สุด
และนั่นจะทำให้รู้สึกว่า
เราได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้ว
ต่อนี้ไปขอส่งมอบภารกิจทั้งหลายให้กับเยาวชนรุ่นหลัง
มอบในสิ่งที่ดีกว่าที่เราได้รับ จากรุ่นพ่อ รุ่นแม่
เพื่อมอบให้รุ่นลูก รุ่นหลานต่อไป
|
อภิจิตตรา (ภ.นวัตกรรมฯ)
&วสุนธรา (สลธ.) / สรุปประเด็น