พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระอัจริยภาพในการบริหารจัดการ

ผลงานวิจัยเฉลิมพระเกียรติชิ้นสำคัญ
ของสำนักงาน ก.พ.ร. และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


         
งานเฉลิมพระเกียรติ พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างของการพัฒนาระบบราชการไทย
ที่สำนักงาน ก.พ.ร. จัดขึ้น เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ณ ห้องเพลนารี 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นอกจากจะมีการบรรยายพิเศษ โดยรองนายกรัฐมนตรีโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธาน ก.พ.ร. และ การปาฐกถาของ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รองประธาน ก.พ.ร. แล้ว ยังมีอีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเสวนาผลงานการวิจัยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสดำรงสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พุทธศักราช 2549 เรื่อง “พระอัจริยภาพในการบริหารจัดการ”

         สำหรับผู้ร่วมเสวนาในครั้งนี้ ได้แก่ ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี และ คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) และ อ.ก.พ.ร.เกี่ยวกับการเผยแพร่และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ โดยมี คุณศิริบูรณ์ ณัฐพันธ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

         ก่อนที่จะเริ่มการเสวนานั้น ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสรับฟังถึง   พระปรีชาสามารถและพระอัจริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ในการนำเสนอผลงานวิจัยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสดำรงสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พุทธศักราช 2549 เรื่อง “พระอัจริยภาพในการบริหารจัดการ” โดย ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค และคณะ ซึ่งการวิจัยดังกล่าว สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับ ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค  และคณะ ดำเนินการขึ้น และจัดทำเป็นหนังสือชุดเฉลิมพระเกียรติ 2  เล่ม  คือ “9 แผ่นดินของการปฏิรูประบบราชการ” และ  “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ”

         ศ.ดร.ปิยนาถ  บุนนาค ผู้อำนวยการหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงที่มาของการจัดทำหนังสือชุดเฉลิมพระเกียรติดังกล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากสำนักงาน ก.พ.ร. ให้ช่วยทำการศึกษาวิจัยเพื่อจัดทำหนังสือดังกล่าว เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จึงได้ร่วมกับคณะศึกษาวิจัย จำนวนประมาณ 11 คน ทำการศึกษาวิจัยจนได้ออกมาเป็นหนังสือชุดเฉลิมพระเกียรติ 2 เล่ม ได้แก่

         “9 แผ่นดินของการปฏิรูประบบราชการ” เป็นหนังสือที่กล่าวถึง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 9 รัชกาล ของไทย ในมุมมองของของระบบราชการ ซึ่งทำให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์ของไทยทั้ง 9 พระองค์ ทรงรักประชาชนอย่างมาก และทรงทำในสิ่งที่ทำให้ประชาชนมีความสุข และประเทศชาติอยู่รอด ซึ่งแต่ละพระองค์ทรงอยู่ในบริบทที่แตกต่างกัน และทรงมีพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถ ในการทำให้บ้านเมืองและประชาชนผ่านพ้นวิกฤติในแต่ละช่วงได้

         “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ” เป็นหนังสือหลักที่มีการนำเสนอผลงานและการเสวนาในครั้งนี้ โดยหนังสือดังกล่าว ได้กล่าวถึงพระปรีชาสามารถ และพระอัจริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 9 บท ที่กล่าวถึงพระอัจริยภาพในด้านต่าง ๆ ที่ทำให้ทรงเป็นแบบอย่างในการบริหารจัดการ โดยได้มีการหยิบยกพระราชดำรัสหรือพระราชกรณีกิจมาอ้างอิงและวิเคราะห์อธิบายให้เกิดความเข้าใจ

         ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค ได้ร่วมกันสรุปสาระสำคัญของหนังสือเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ”
ในบทต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย

         บทนำ
         เป็นการกล่าวถึงพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการปูพื้นให้ทราบถึงการอบรมเลี้ยงดู การศึกษา ความรู้ และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตขึ้นมาเป็น “นักบริหารจัดการ”

         บทที่ 1 พระผู้นำแห่งแผ่นดิน
         กล่าวถึงภาวะความเป็นผู้นำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ปรากฎอยู่ในพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรของพระองค์ เช่น ทรงเป็นผู้บุกเบิก วางเป้าหมายและแนวทางในการดำเนินงาน ทรงทำทุกอย่างโดยการพัฒนาอย่างมีเหตุผล รวดเร็วทันการ มีการศึกษาทดลองให้แน่ชัดก่อนที่จะนำไปดำเนินการ ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาประเทศ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ของราษฎร ทรงพัฒนาปรับเปลี่ยนขั้นตอน และระบบการทำงานแบบบูรณาการ และเชื่อมโยงการทำงานของทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน ทรงมอบอำนาจการตัดสินใจเพื่อให้ได้มาซึ่งการมีส่วนร่วมของคนในองค์กร ทรงเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการมองโลกและสังคม โดยเน้นความเป็นเอกภาพ และทรงเป็นต้นแบบในเรื่องของการสร้างความศรัทธา ความไว้เนื้อเชื่อใจ แก่บุคคลรอบด้าน โดยทรงทำให้เห็นและพูดให้ฟัง เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ในลักษณะที่เรียกว่า ดูและทำตาม

         บทที่ 2 พระราชวิสัยทัศน์
         
กล่าวถึงพระราชวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีความกว้างไกลและลึกซึ้ง โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เป็นปัญหาต่อโลกและสังคม ทรงเน้นการพัฒนาทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจควบคู่กันไป ซึ่งเหมาะสมกับประเทศไทยในบริบทโลกปัจจุบัน อีกทั้งยังทรงยึดมั่นในการทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติของพระองค์  

                                            

        บทที่ 3 พระปรีชาสามารถในการบริหารจัดการ

         กล่าวถึงการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระดำริต่าง ๆ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่มุ่งไปสู่การพึ่งพาตนเองของประชาชน และนำไปสู่เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งการบริหารจัดการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เป็นไปตามหลักการบริหารจัดการแนวใหม่ ที่ต่อมาได้มีการนำเรื่องของ “ประโยชน์สุขของประชาชน” มากำหนดไว้ในมาตรา 3/1 ของ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ที่กำหนดไว้ว่า การบริหารราชการแผ่นดินต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าในเชิงภารกิจ

         บทที่ 4 พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างการบูรณาการการทำงาน
         กล่าวถึงแบบอย่างในการบูรณาการการทำงาน และการทำงานร่วมกัน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เคยมีพระราชดำรัสว่า ในการทำงานนั้น ทุกฝ่ายจะต้องพึ่งพิงกันจึงจะทำให้งานดำเนินการไปได้ ซึ่งตัวอย่างขอการทำงานแบบบูรณาการที่เห็นได้ชัดคือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งคนเพียงคนเดียว หน่วยงานเดียว หรือแม้แต่รัฐบาลเพียงรัฐบาลเดียวก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ แต่จะต้องช่วยกันหลายหน่วยงาน และรับช่วงต่อกันทำ ดังนั้น ในการทำงานที่ต้องเกี่ยวกับกับภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน หากเป็นภาษาอังกฤษก็จะต้องใส่ ‘s’ เพราะต้องทำกันหลายหน่วยงาน จึงจะทำให้งานสำเร็จลุล่วงได้

         บทที่ 5 จอมปราชญ์ของแผ่นดินกับการจัดการความรู้
         กล่าวถึงพระปรีชาสามารถในด้านการจัดการความรู้ ซึ่งในการดำเนินโครงการพระราชดำริต่าง ๆ นั้น ทรงให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้รับบริการ คือ ประชาชน ต้องมีการสำรวจความรู้ ข้อมูลภูมิประเทศ สถานที่ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แล้วจึงพัฒนาความรู้จากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นการนำความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลเหล่านั้น (Tacit Knowledge) ออกมาทำให้กระจ่างแจ้ง โดยการสังเคราะห์ จัดทำให้เป็นระบบ และนำไปปฏิบัติ เกิดการถ่ายทอดแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้

         ตัวอย่างในเรื่องของการจัดการความรู้คือ ศูนย์การศึกษาและพัฒนาทั้ง 6 แห่ง ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนสื่อสารวิธีการและวิธีปฏิบัติระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนกลายเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปขอความรู้และนำไปปฏิบัติได้จริงจนเห็นผล

         บทที่ 6 พระผู้ทรงเป็นผู้นำในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
         กล่าวถึงพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยทรงกำหนดสิ่งที่ต้องพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่แนวความคิดไปจนถึงขั้นตอน และวิธีปฏิบัติงาน อีกทั้งยังทรงศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อความสำเร็จ ตลอดจนความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ

         ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการทรงเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงคือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งผลของเศรษฐกิจพอเพียง    เป็นที่ประจักษ์ทั่วโลกดยเมื่อ   วันที่  26   พฤษภาคม   2549
นายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการสหประชาชนได้มาทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลด้านการพัฒนา และทุกคนขนานนามพระองค์ว่า “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” พระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้นานาประเทศตื่นตัวในการปรับรูปแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเห็นผลจริง และประจักษ์ต่อสายตา

         บทที่ 7 พระปรีชาสามารถในการจัดการศึกษาด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
         กล่าวถึงสายพระเนตรอันยาวไกล ในการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนพัฒนาขึ้น    ซึ่งจะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจสร้างสรรค์และพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์   และการประมวลผลข้อมูลต่าง  ๆ  เช่น
การป้อนโน้ตเพลงและเนื้อร้องโดยใช้คอมพิวเตอร์ ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยแบบต่าง ๆ ให้เราได้มีรูปแบบตัวอักษรไทยใช้ในคอมพิวเตอร์ ทรงประดิษฐ์อักษรเทวนาครีเพื่อใช้ในการศึกษาพระไตรปิฎกในคอมพิวเตอร์ จนเกิดเป็นพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ โปรแกรมภาษาไทย CU writer ที่นำมาใช้ในช่วงที่ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้ ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมอิเล็กทรอนิกส์ผ่านดาวเทียม การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ณ โรงเรียนวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น

         พระอัฉริยภาพด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมากมาย ทำให้สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยน้อมเกล้าฯ ถวายพระเกียรติ “Telecom Man of the Nation” แด่พระองค์เพื่อเทิดทูนพระราชอัจฉริยภาพด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียม

         บทที่ 8 พระอัจฉริยภาพในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ
         กล่าวถึงพระปรีชาสามารถในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยมีรูปแบบที่ทรงใช้สื่อสารสร้างความเข้าใจหลัก ๆ คือ ทรงทำเป็นแบบอย่าง โดยปฏิบัติให้เป็นเป็นรูปธรรม และทรงสื่อสารผ่านกระแสพระราชดำรัส ซึ่งสาระที่ทรงถ่ายทอดนั้นมีคุณค่าและแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และภาษาที่ทรงเลือกใช้ จะเป็นภาษาที่สั้น กะทัดรัด เข้าใจง่าย มีสารประโยชน์ เช่น “ขาดทุนคือกำไร” “รู้รักสามัคคี” “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นต้น

         นอกจากนี้ ยังทรงสื่อสารสร้างความเข้าใจผ่านทางหนังสือและบทเพลงพระราชนิพนธ์ ซึ่งจะมีการสอดแทรกกุศโลบาย และคติธรรมทางพุทธศาสนาอยู่เสมอ ๆ

         บทที่ 9 การทรงกำกับ ติดตาม และประเมินผล
         กล่าวถึงการติดตามประเมินผลโครงการต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ เพื่อให้ทรงทราบว่างานต่าง ๆ นั้นสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งวิธีการในการติดตามประเมินผลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ มี 2 วิธี คือ 1) ทรงติดตามประเมินผลด้วยพระองค์เอง โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทอดพระเนตรด้วยพระอง์เอง ว่า โครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการ มีปัญหาหรืออุปสรรคหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งทรงติดตามผลผ่านการรายงานข่าวของทางสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ด้วย 2) ทรงติดตามประเมินผลผ่านหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้น ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และ กองโครงการสัมพันธ์ สำนักราชเลขาธิการ


         หลังจากเสร็จสิ้นการนำเสนอผลงานวิจัยฯ โดย ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค และคณะแล้ว ได้มี การเสวนาผลงานการวิจัยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   เนื่องในวโรกาสดำรงสิริราชสมบัติครบ   60   ปี  พุทธศักราช   2549
เรื่อง “พระอัจริยภาพในการบริหารจัดการ”
โดย ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม และ คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์ โดยประเด็นหลักในการเสวนาครั้งนี้ ได้แก่

          พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ
          คุณค่าความเป็นหนังสือของ หนังสือเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ”

         ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ     ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า  จากประสบการณ์การรับราชการ     ทำให้มีโอกาสด้เห็นพระราชจริยวัตรอัธยาศัย
พระบรมราชวินิจฉัย ได้รับฟังกระแสพระราชดำรัส บางครั้งเป็นเรื่องที่ทรงติ ทรงเตือน ทรงแนะนำ ทรงสอน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์อย่างมหาศาล อีกทั้งยังทรงแนะนำ และให้แรงบันดาลใจกับรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ให้สามารถผ่านลุล่วงไปได้

         ศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า หลาย ๆ ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงมาบริหารจัดการ เพราะประเทศชาติบ้านเมืองกำลังมีปัญหา   ซึ่งทรงทราบว่าราษฎรมีความทุกข์   บ้านเมืองปีปัญหา     จึงทรงหาทางเพื่อเยียวยาแก้ไขปัญหาในขอบเขตแห่ง
พระราชอำนาจ ซึ่งตัวอย่างในเรื่องดังกล่าว ปราฏอยู่ในหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้

         รวมความแล้วก็คือ ทรงลงมาเติมเต็มในส่วนที่ยังขาด ทรงบูรณาการส่วนที่กระจัดกระจายหรือแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทรงนำในส่วนที่ยังล้าหลัง และทรงตามหรือดึงกลับในส่วนที่เดินหน้าเร็วและมากเกินไป และหนังสือเฉลิมพระเกียรตินี้ คือบทสรุปว่า พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ต้องทรงลงมาทำงานต่าง ๆ เพราะอะไร และสรุปความได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ทรงทำราชการ” เหมือนกับข้าราชการทุกคน

         ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณในวันเสาร์/หลัง หลังจากที่ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตังคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องรอถึงวันจันทร์ ซึ่งทรงให้เหตุผลว่า พระองค์ทรงเป็นข้าราชการ แต่แตกต่างจากข้าราชการอื่นตรงที่ “พระองค์ทรงเป็นข้าราชการที่ไม่มีวันหยุด”

         นอกจากไม่มีวันหยุดแล้ว ยังไม่มีเวลาหยุดด้วย ซึ่งตัวอย่างหนึ่งที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้คือ มีครั้งหนึ่งทรงประชวรพระทนต์ ก็ได้มีการตามหมอมาเพื่อถวายการรักษา ในขณะนั้นทรงทราบข่าวว่าเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ก็ทรงให้เลื่อนการรักษาออกไป เพื่อไปช่วยเรื่องน้ำท่วมก่อน นอกจากนี้ ในระหว่างที่รักษาพระทนต์อยู่นั้น หมอได้ทำการเจาะฟันเพื่อให้หนองไหลออกมา ก็ทรงนึกวิธีแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ในเวลานั้น ว่าเวลาที่น้ำท่วมน้ำขังก็ต้องมีการเจาะเป็นโพรงเพื่อให้น้ำระบายออก หรือแม้แต่การที่ทรงคิดวิธีแก้ไขปัญหาจราจรได้ ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินกลับจากการไปเยี่ยมสมเด็จพระบรมราชชนนีที่โรงพยาบาลศิริราช โดยทรงให้มีการตรวจสอบจนแน่ใจว่าสามารถทำได้ ยึงได้รับสั่งให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการ และนี่จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่มีวันและเวลาในการหยุดพักทำราชการ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ข้าราชการทั้งหลายควรนำไปไตร่ตรอง

         ศ.ดร.วิษณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า เคยมีคำกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินในอดีตว่า แผ่นดินรัชกาลที่ 1 ใครเป็นนักรบก็จะโปรด แผ่นดินรัชกาลที่ 2 ใครเป็นคนดีก็จะโปรด แผ่นดินรัชกาลที่ 3 ใครใจบุญสุนทาน ทำบุญ เข้าวัด สร้างวัด ก็จะโปรด แผ่นดินรัชกาลที่ 4 ใครพูดภาษาอังกฤษได้ มีความรู้ทางตะวันตก ก็จะโปรด

     วันหนึ่งได้มีคนถามหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชว่าแผ่นดิน
รัชกาลที่ 9 ทำอะไรจึงจะโปรด ซึ่งหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ กล่าว ว่า ใครที่ช่วยเหลือประชาชน พัฒนาประชาน แก้ปัญหาให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ด้วยการบริหาร การจัดการให้บ้านเมืองมีความสุข มีความสงบ มีความเรียบร้อย ก็จะเป็นที่โปรดปราน

         ทั้งนี้    คำทั้งหมดที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์กล่าวนั้น   ปัจจุบันมีคำ  1  คำที่สั้น  กะทัดรัด    ใช้แทนคำทั้งหมดได้    นั่นคือ
“การบริหารจัดการ”  ซึ่งเป็นการรวมคำว่า “บริหาร” คือ การให้คนอื่นทำ  และคำว่า “จัดการ” คือ การทำเอง เข้าด้วยกัน ดังนั้น
“การบริการจัดการ”     จึงเป็นการทำงานที่บางครั้งต้องแนะให้คนอื่นทำ      บางครั้งก็ต้องทำเอง     หรือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการบริหารจัดการที่เยี่ยมยอดที่สุด

         สำหรับในเรื่องของคุณค่าความเป็นหนังสือนั้น ศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า หนังสือเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ” เป็นหนังสือที่อ่านด้วยความสนุกสนาน เนื้อหาไม่หนัก แต่ให้ความรู้และประเทืองปัญญา และจากที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมามาก “ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มใด งานวิจัยใดเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่กะทัดรัด ชัดเจน รัดกุม สละสลวยด้วยถ้อยคำภาษา กระจ่างแจ้งในเชิงความคิด ได้มากและดีที่สุดเท่ากับหนังสือเล่มนี้” จึงอยากให้มีการเผยแพร่ถึงมือเยาวชนของชาติให้มากที่สุด

         หนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้ ทำให้เห็นถึงแนวทางของการเป็นนักบริหารจัดการที่ดี ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง โดยหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้ ได้กล่าวถึง แนวทางการบริหารจัดการ ที่ประกอบด้วย     1)      การบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน 2) หวังผลสัมฤทธิ์ 3) ไม่ติดกติกา   4) หวังความคุ้มค่าในทุกประการ    ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็น    ศาสตร์ของการบริหารจัดการ  โดยมีเทคนิควิธีการที่จะดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว พร้อมทั้งตัวอย่างของแต่ละหัวข้อ ตามที่ปรากฏอยู่ในหลังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้   เช่น   ทรงจัดการกับองค์ความรู้ ความเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี  การสื่อสาร การติดตามประเมินผล เป็นต้น

         ศ.ดร.วิษณุยังได้กล่าวอีกว่า ในหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้ได้มีการพูดถึงการพัฒนา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยรับสั่งว่า การพัฒนาต้องทำอย่างมีสติ รอบคอบ และนำผลที่เกิดขึ้นมาประมวลและนำไปใช้ ซึ่งควรนำมาเป็นแบบอย่างในการพัฒนาระบบราชการ นอกจากนี้ การพัฒนาควรมีการนำไปทดลองนำร่องให้เห็นผลก่อน และนี่จึงเป็นที่มาของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้น เพื่อให้พัฒนานั้นจะเหมาะสมกับแต่ละภูมิประเทศ และกลุ่มเป้าหมายที่จะพัฒนา

         รวมความแล้ว สรุปได้ว่า ศิลปะแห่งการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนานั้น ต้องใช้หลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า หัวใจของการทำงาน ประกอบด้วย 3 ป. ได้แก่
         1. ปฏิบัติ คือ ทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง
         2. ปริยัติ คือ ศึกษาอย่างถ่องแท้ สอนและอธิบายได้
         3. ปฏิเวธ คือ เมื่อทำแล้วนำมาไตร่ตรองและคิดอีกครั้งหนึ่ง ถ้าดีก็ทำต่อ ถ้าไม่ดีก็เลิกทำไป
         หลักธรรมทางพุทธศาสนาดังกล่าว เป็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้มาโดยตลอดการครองสิริราชสมบัติ

         ครั้งหนึ่ง มีคนถามพระพุทธเจ้าว่า คุณสมบัติของข้าราชการ คืออะไร ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างชัดเจนว่า
ข้าราชการที่ดีควรมีคุณสมบัติ ที่ประกอบด้วย 1) เป็นผู้มีปัญญา 2) มีความรอบรู้ 3) มีความสามารถในการบริหารจัดการ และ
4) รู้กาลเทศะอันควรไม่ควร เพราะเรื่องบางเรื่องไม่ควรทำทุกอย่างหรือทุกเวลา ต้องจัดความสำคัญว่าทำอะไรก่อน-หลัง

        ด้านคุณสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) และ อ.ก.พ.ร.เกี่ยวกับการเผยแพร่และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ ได้กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ ว่า เห็นได้จากหนังสือเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ” ที่เป็นหลักฐานยืนยันอ้างอิงที่ชัดเจน ตั้งแต่บทแรกของหนังสือ ที่ทรงได้แบบอย่างมาจากสมเด็จพระราชชนนีที่ทรงปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด เช่น การประหยัด การให้ความสำคัญกับเรื่องของ “คน” ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารจัดการ

         อีกเรื่องหนึ่งคือ การเสียสละเพื่อผู้อื่นเพื่อให้งานสำเร็จ ซึ่งทรงมีพระราชดำรัสหนึ่งที่น่าประทับใจคือ “ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น” ซึ่งข้าราชการควรจะทำงานด้วยความรู้สึกแบบนั้น

         ในด้านคุณค่าความเป็นหนังสือนั้น     คุณสมหมายกล่าวว่า   หนังสือเฉลิมพระเกียรติ  “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ” มีการเรียบเรียงและการลำดับเรื่องที่ ชัดเจน อ่านแล้วได้ความรู้ความเข้าใจ ได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน อ่านแล้ววางไม่ลง มีการนำข้อเท็จจริงมายืนยันให้เกิดความคิดความรู้สึก

         อย่างไรก็ตาม หากจะถามที่ว่า อ่านแล้ว “อิ่ม” หรือไม่ คำตอบคือ “อิ่ม” แต่อิ่มในระดับหนึ่ง เนื่องจากในแง่ของการบริหารจัดการนั้น มีมุมมอง 4 ด้าน คือ การบริหารงาน การบริหารคน การบริหารเวลา และ การบริหารงบประมาณ ซึ่งหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้มีข้อมูลที่ชัดเจน ในเรื่องการบริหารงานและการบริหารคน แต่เรื่องการบริหารเวลาและการบริหารงบประมาณ ยังไม่ปรากฏชัดในหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้

         คุณสมหมายกล่าวว่า สิ่งที่ต้องการทราบเพิ่มเติม คือ พระองค์ทรงประสบปัญหาและอุปสรรคอย่างไรบ้าง ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจเมื่ออ่านหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้ คือ จะพบว่าพระองค์จะไม่ทรงดำรัสถึงปัญญาออกมา แต่พระองค์จะทรงแก้ปัญหาด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่าง ให้มีความเพียร ทรงสอน ตรัสให้คิด ไม่เน้นที่การพูดถึงปัญหา

         ดังนั้น หากเป็นไปได้ จึงอยากให้มีการวิจัยเพิ่มเติมในเชิงลึกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อประสบปัญหาความขัดแย้งในหมู่คนทำงาน ทรงแก้ปัญหาอย่างไรเมื่อเจอข้าราชการเช้าชามเย็นสองชาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดภาวะวิกฤติของประเทศ ทรงมีการบริหารจัดการและแก้ไขสถานการณ์อย่างไร

         คุณสมหมายกล่าวเพิ่มเติมในช่วงท้ายของกาเสวนาว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องการเห็นเพิ่มเติมคือ การนำพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมของทุกปี มาวิเคราะห์วิจัย และสะท้อนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น