บทที่ 2 พระราชวิสัยทัศน์
กล่าวถึงพระราชวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีความกว้างไกลและลึกซึ้ง โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เป็นปัญหาต่อโลกและสังคม ทรงเน้นการพัฒนาทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจควบคู่กันไป ซึ่งเหมาะสมกับประเทศไทยในบริบทโลกปัจจุบัน อีกทั้งยังทรงยึดมั่นในการทำเพื่อประชาชนและประเทศชาติของพระองค์

บทที่ 3
พระปรีชาสามารถในการบริหารจัดการ
กล่าวถึงการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติมาโดยตลอด
ซึ่งจะเห็นได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระดำริต่าง ๆ
ซึ่งเป็นการพัฒนาที่มุ่งไปสู่การพึ่งพาตนเองของประชาชน
และนำไปสู่เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ซึ่งการบริหารจัดการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น
เป็นไปตามหลักการบริหารจัดการแนวใหม่ ที่ต่อมาได้มีการนำเรื่องของ
ประโยชน์สุขของประชาชน มากำหนดไว้ในมาตรา 3/1 ของ
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545
ที่กำหนดไว้ว่า
การบริหารราชการแผ่นดินต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เกิดผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าในเชิงภารกิจ
บทที่ 4
พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างการบูรณาการการทำงาน
กล่าวถึงแบบอย่างในการบูรณาการการทำงาน
และการทำงานร่วมกัน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่เคยมีพระราชดำรัสว่า ในการทำงานนั้น
ทุกฝ่ายจะต้องพึ่งพิงกันจึงจะทำให้งานดำเนินการไปได้
ซึ่งตัวอย่างขอการทำงานแบบบูรณาการที่เห็นได้ชัดคือ
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งคนเพียงคนเดียว หน่วยงานเดียว
หรือแม้แต่รัฐบาลเพียงรัฐบาลเดียวก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
แต่จะต้องช่วยกันหลายหน่วยงาน และรับช่วงต่อกันทำ ดังนั้น
ในการทำงานที่ต้องเกี่ยวกับกับภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน
หากเป็นภาษาอังกฤษก็จะต้องใส่ s เพราะต้องทำกันหลายหน่วยงาน
จึงจะทำให้งานสำเร็จลุล่วงได้
บทที่ 5
จอมปราชญ์ของแผ่นดินกับการจัดการความรู้
กล่าวถึงพระปรีชาสามารถในด้านการจัดการความรู้
ซึ่งในการดำเนินโครงการพระราชดำริต่าง ๆ นั้น
ทรงให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้รับบริการ คือ ประชาชน
ต้องมีการสำรวจความรู้ ข้อมูลภูมิประเทศ สถานที่
และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
แล้วจึงพัฒนาความรู้จากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ซึ่งเป็นการนำความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลเหล่านั้น (Tacit Knowledge)
ออกมาทำให้กระจ่างแจ้ง โดยการสังเคราะห์ จัดทำให้เป็นระบบ
และนำไปปฏิบัติ เกิดการถ่ายทอดแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้
ตัวอย่างในเรื่องของการจัดการความรู้คือ
ศูนย์การศึกษาและพัฒนาทั้ง 6 แห่ง
ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนสื่อสารวิธีการและวิธีปฏิบัติระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน
และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จนกลายเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ
ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปขอความรู้และนำไปปฏิบัติได้จริงจนเห็นผล
บทที่ 6
พระผู้ทรงเป็นผู้นำในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
กล่าวถึงพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โดยทรงกำหนดสิ่งที่ต้องพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง
ตั้งแต่แนวความคิดไปจนถึงขั้นตอน และวิธีปฏิบัติงาน
อีกทั้งยังทรงศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อความสำเร็จ
ตลอดจนความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ
|
|
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการทรงเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงคือ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น
ซึ่งผลของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นที่ประจักษ์ทั่วโลกดยเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549
นายโคฟี่ อันนัน
เลขาธิการสหประชาชนได้มาทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลด้านการพัฒนา
และทุกคนขนานนามพระองค์ว่า พระมหากษัตริย์นักพัฒนา
พระปรีชาสามารถของพระองค์
ทำให้นานาประเทศตื่นตัวในการปรับรูปแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ภายใต้แนวคิด/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเห็นผลจริง
และประจักษ์ต่อสายตา |
บทที่ 7
พระปรีชาสามารถในการจัดการศึกษาด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
กล่าวถึงสายพระเนตรอันยาวไกล
ในการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนพัฒนาขึ้น
ซึ่งจะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจสร้างสรรค์และพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์
และการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ เช่น
การป้อนโน้ตเพลงและเนื้อร้องโดยใช้คอมพิวเตอร์
ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยแบบต่าง ๆ
ให้เราได้มีรูปแบบตัวอักษรไทยใช้ในคอมพิวเตอร์
ทรงประดิษฐ์อักษรเทวนาครีเพื่อใช้ในการศึกษาพระไตรปิฎกในคอมพิวเตอร์
จนเกิดเป็นพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ โปรแกรมภาษาไทย CU writer
ที่นำมาใช้ในช่วงที่ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้
ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมอิเล็กทรอนิกส์ผ่านดาวเทียม
การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ณ โรงเรียนวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น
พระอัฉริยภาพด้านสื่อสารผ่านดาวเทียมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมากมาย
ทำให้สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยน้อมเกล้าฯ ถวายพระเกียรติ Telecom Man of the Nation
แด่พระองค์เพื่อเทิดทูนพระราชอัจฉริยภาพด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียม
บทที่ 8
พระอัจฉริยภาพในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ
กล่าวถึงพระปรีชาสามารถในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชน
โดยมีรูปแบบที่ทรงใช้สื่อสารสร้างความเข้าใจหลัก ๆ คือ
ทรงทำเป็นแบบอย่าง โดยปฏิบัติให้เป็นเป็นรูปธรรม
และทรงสื่อสารผ่านกระแสพระราชดำรัส
ซึ่งสาระที่ทรงถ่ายทอดนั้นมีคุณค่าและแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
และภาษาที่ทรงเลือกใช้ จะเป็นภาษาที่สั้น กะทัดรัด เข้าใจง่าย
มีสารประโยชน์ เช่น ขาดทุนคือกำไร รู้รักสามัคคี เข้าใจ เข้าถึง
พัฒนา เศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น
นอกจากนี้
ยังทรงสื่อสารสร้างความเข้าใจผ่านทางหนังสือและบทเพลงพระราชนิพนธ์
ซึ่งจะมีการสอดแทรกกุศโลบาย และคติธรรมทางพุทธศาสนาอยู่เสมอ ๆ

บทที่ 9 การทรงกำกับ ติดตาม
และประเมินผล
กล่าวถึงการติดตามประเมินผลโครงการต่าง
ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ เพื่อให้ทรงทราบว่างานต่าง ๆ
นั้นสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่
ซึ่งวิธีการในการติดตามประเมินผลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้
มี 2 วิธี คือ 1) ทรงติดตามประเมินผลด้วยพระองค์เอง
โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทอดพระเนตรด้วยพระอง์เอง
ว่า โครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการ มีปัญหาหรืออุปสรรคหรือไม่ อย่างไร
รวมทั้งทรงติดตามผลผ่านการรายงานข่าวของทางสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ด้วย 2)
ทรงติดตามประเมินผลผ่านหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้น ได้แก่
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
(กปร.) และ กองโครงการสัมพันธ์ สำนักราชเลขาธิการ
หลังจากเสร็จสิ้นการนำเสนอผลงานวิจัยฯ
โดย ศ.ดร.ปิยนาถ บุนนาค และคณะแล้ว ได้มี การเสวนาผลงานการวิจัยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสดำรงสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พุทธศักราช 2549
เรื่อง
พระอัจริยภาพในการบริหารจัดการ โดย ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม และ คุณสมหมาย ปาริจฉัตต์
โดยประเด็นหลักในการเสวนาครั้งนี้ ได้แก่
พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ
คุณค่าความเป็นหนังสือของ หนังสือเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ

ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง
พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า จากประสบการณ์การรับราชการ ทำให้มีโอกาสด้เห็นพระราชจริยวัตรอัธยาศัย
พระบรมราชวินิจฉัย ได้รับฟังกระแสพระราชดำรัส
บางครั้งเป็นเรื่องที่ทรงติ ทรงเตือน ทรงแนะนำ ทรงสอน
ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์อย่างมหาศาล อีกทั้งยังทรงแนะนำ
และให้แรงบันดาลใจกับรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤติการณ์ต่าง ๆ
ให้สามารถผ่านลุล่วงไปได้
ศ.ดร.วิษณุ
กล่าวว่า หลาย ๆ
ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงมาบริหารจัดการ
เพราะประเทศชาติบ้านเมืองกำลังมีปัญหา ซึ่งทรงทราบว่าราษฎรมีความทุกข์ บ้านเมืองปีปัญหา
จึงทรงหาทางเพื่อเยียวยาแก้ไขปัญหาในขอบเขตแห่ง
พระราชอำนาจ
ซึ่งตัวอย่างในเรื่องดังกล่าว
ปราฏอยู่ในหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้
|
รวมความแล้วก็คือ
ทรงลงมาเติมเต็มในส่วนที่ยังขาด
ทรงบูรณาการส่วนที่กระจัดกระจายหรือแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทรงนำในส่วนที่ยังล้าหลัง
และทรงตามหรือดึงกลับในส่วนที่เดินหน้าเร็วและมากเกินไป
และหนังสือเฉลิมพระเกียรตินี้ คือบทสรุปว่า พระมหากษัตริย์
โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
ต้องทรงลงมาทำงานต่าง ๆ เพราะอะไร และสรุปความได้ว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทำราชการ
เหมือนกับข้าราชการทุกคน
ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่ง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ
ให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณในวันเสาร์/หลัง
หลังจากที่ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตังคณะรัฐมนตรี
โดยไม่ต้องรอถึงวันจันทร์ ซึ่งทรงให้เหตุผลว่า
พระองค์ทรงเป็นข้าราชการ แต่แตกต่างจากข้าราชการอื่นตรงที่ พระองค์ทรงเป็นข้าราชการที่ไม่มีวันหยุด |
|
นอกจากไม่มีวันหยุดแล้ว
ยังไม่มีเวลาหยุดด้วย ซึ่งตัวอย่างหนึ่งที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้คือ
มีครั้งหนึ่งทรงประชวรพระทนต์ ก็ได้มีการตามหมอมาเพื่อถวายการรักษา
ในขณะนั้นทรงทราบข่าวว่าเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม
ก็ทรงให้เลื่อนการรักษาออกไป เพื่อไปช่วยเรื่องน้ำท่วมก่อน นอกจากนี้
ในระหว่างที่รักษาพระทนต์อยู่นั้น
หมอได้ทำการเจาะฟันเพื่อให้หนองไหลออกมา
ก็ทรงนึกวิธีแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ในเวลานั้น
ว่าเวลาที่น้ำท่วมน้ำขังก็ต้องมีการเจาะเป็นโพรงเพื่อให้น้ำระบายออก
หรือแม้แต่การที่ทรงคิดวิธีแก้ไขปัญหาจราจรได้
ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินกลับจากการไปเยี่ยมสมเด็จพระบรมราชชนนีที่โรงพยาบาลศิริราช
โดยทรงให้มีการตรวจสอบจนแน่ใจว่าสามารถทำได้
ยึงได้รับสั่งให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการ
และนี่จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่มีวันและเวลาในการหยุดพักทำราชการ
ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ข้าราชการทั้งหลายควรนำไปไตร่ตรอง
|
|
ศ.ดร.วิษณุ
กล่าวเพิ่มเติมว่า เคยมีคำกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินในอดีตว่า
แผ่นดินรัชกาลที่ 1 ใครเป็นนักรบก็จะโปรด แผ่นดินรัชกาลที่ 2
ใครเป็นคนดีก็จะโปรด แผ่นดินรัชกาลที่ 3 ใครใจบุญสุนทาน ทำบุญ
เข้าวัด สร้างวัด ก็จะโปรด แผ่นดินรัชกาลที่ 4
ใครพูดภาษาอังกฤษได้ มีความรู้ทางตะวันตก ก็จะโปรด
วันหนึ่งได้มีคนถามหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมชว่าแผ่นดิน
รัชกาลที่ 9 ทำอะไรจึงจะโปรด ซึ่งหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ กล่าว ว่า ใครที่ช่วยเหลือประชาชน พัฒนาประชาน
แก้ปัญหาให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ด้วยการบริหาร
การจัดการให้บ้านเมืองมีความสุข มีความสงบ มีความเรียบร้อย
ก็จะเป็นที่โปรดปราน |
ทั้งนี้
คำทั้งหมดที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์กล่าวนั้น ปัจจุบันมีคำ 1 คำที่สั้น กะทัดรัด ใช้แทนคำทั้งหมดได้ นั่นคือ
การบริหารจัดการ ซึ่งเป็นการรวมคำว่า บริหาร คือ การให้คนอื่นทำ และคำว่า จัดการ คือ การทำเอง เข้าด้วยกัน ดังนั้น
การบริการจัดการ จึงเป็นการทำงานที่บางครั้งต้องแนะให้คนอื่นทำ บางครั้งก็ต้องทำเอง หรือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการบริหารจัดการที่เยี่ยมยอดที่สุด
สำหรับในเรื่องของคุณค่าความเป็นหนังสือนั้น
ศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า หนังสือเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ
เป็นหนังสือที่อ่านด้วยความสนุกสนาน เนื้อหาไม่หนัก
แต่ให้ความรู้และประเทืองปัญญา
และจากที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมามาก
ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มใด
งานวิจัยใดเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่กะทัดรัด ชัดเจน
รัดกุม สละสลวยด้วยถ้อยคำภาษา กระจ่างแจ้งในเชิงความคิด
ได้มากและดีที่สุดเท่ากับหนังสือเล่มนี้
จึงอยากให้มีการเผยแพร่ถึงมือเยาวชนของชาติให้มากที่สุด
|
หนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้
ทำให้เห็นถึงแนวทางของการเป็นนักบริหารจัดการที่ดี
ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง โดยหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้
ได้กล่าวถึง แนวทางการบริหารจัดการ ที่ประกอบด้วย 1)
การบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน 2) หวังผลสัมฤทธิ์ 3)
ไม่ติดกติกา 4) หวังความคุ้มค่าในทุกประการ ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็น ศาสตร์ของการบริหารจัดการ
โดยมีเทคนิควิธีการที่จะดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
พร้อมทั้งตัวอย่างของแต่ละหัวข้อ
ตามที่ปรากฏอยู่ในหลังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้ เช่น
ทรงจัดการกับองค์ความรู้ ความเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี การสื่อสาร
การติดตามประเมินผล เป็นต้น |
|
ศ.ดร.วิษณุยังได้กล่าวอีกว่า
ในหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้ได้มีการพูดถึงการพัฒนา
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยรับสั่งว่า การพัฒนาต้องทำอย่างมีสติ
รอบคอบ และนำผลที่เกิดขึ้นมาประมวลและนำไปใช้
ซึ่งควรนำมาเป็นแบบอย่างในการพัฒนาระบบราชการ นอกจากนี้
การพัฒนาควรมีการนำไปทดลองนำร่องให้เห็นผลก่อน
และนี่จึงเป็นที่มาของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้น
เพื่อให้พัฒนานั้นจะเหมาะสมกับแต่ละภูมิประเทศ
และกลุ่มเป้าหมายที่จะพัฒนา
รวมความแล้ว
สรุปได้ว่า ศิลปะแห่งการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนานั้น
ต้องใช้หลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า หัวใจของการทำงาน ประกอบด้วย 3 ป. ได้แก่
1.
ปฏิบัติ คือ
ทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง
2.
ปริยัติ คือ
ศึกษาอย่างถ่องแท้ สอนและอธิบายได้
3.
ปฏิเวธ คือ
เมื่อทำแล้วนำมาไตร่ตรองและคิดอีกครั้งหนึ่ง ถ้าดีก็ทำต่อ
ถ้าไม่ดีก็เลิกทำไป
หลักธรรมทางพุทธศาสนาดังกล่าว
เป็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้มาโดยตลอดการครองสิริราชสมบัติ
ครั้งหนึ่ง
มีคนถามพระพุทธเจ้าว่า คุณสมบัติของข้าราชการ
คืออะไร ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างชัดเจนว่า
ข้าราชการที่ดีควรมีคุณสมบัติ ที่ประกอบด้วย 1) เป็นผู้มีปัญญา 2)
มีความรอบรู้ 3) มีความสามารถในการบริหารจัดการ และ
4)
รู้กาลเทศะอันควรไม่ควร
เพราะเรื่องบางเรื่องไม่ควรทำทุกอย่างหรือทุกเวลา
ต้องจัดความสำคัญว่าทำอะไรก่อน-หลัง
ด้านคุณสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้จัดการ
บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) และ
อ.ก.พ.ร.เกี่ยวกับการเผยแพร่และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ
ได้กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการบริหารจัดการ
ว่า เห็นได้จากหนังสือเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ
ที่เป็นหลักฐานยืนยันอ้างอิงที่ชัดเจน ตั้งแต่บทแรกของหนังสือ
ที่ทรงได้แบบอย่างมาจากสมเด็จพระราชชนนีที่ทรงปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด
เช่น การประหยัด การให้ความสำคัญกับเรื่องของ คน
ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารจัดการ
อีกเรื่องหนึ่งคือ
การเสียสละเพื่อผู้อื่นเพื่อให้งานสำเร็จ
ซึ่งทรงมีพระราชดำรัสหนึ่งที่น่าประทับใจคือ ทำงานกับฉัน
ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากมีความสุขร่วมกัน
ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น
ซึ่งข้าราชการควรจะทำงานด้วยความรู้สึกแบบนั้น
ในด้านคุณค่าความเป็นหนังสือนั้น คุณสมหมายกล่าวว่า หนังสือเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการ
มีการเรียบเรียงและการลำดับเรื่องที่
ชัดเจน อ่านแล้วได้ความรู้ความเข้าใจ ได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน
อ่านแล้ววางไม่ลง
มีการนำข้อเท็จจริงมายืนยันให้เกิดความคิดความรู้สึก
|
อย่างไรก็ตาม
หากจะถามที่ว่า อ่านแล้ว อิ่ม
หรือไม่ คำตอบคือ อิ่ม
แต่อิ่มในระดับหนึ่ง เนื่องจากในแง่ของการบริหารจัดการนั้น
มีมุมมอง 4 ด้าน คือ การบริหารงาน การบริหารคน การบริหารเวลา และ
การบริหารงบประมาณ
ซึ่งหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้มีข้อมูลที่ชัดเจน
ในเรื่องการบริหารงานและการบริหารคน
แต่เรื่องการบริหารเวลาและการบริหารงบประมาณ
ยังไม่ปรากฏชัดในหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้
คุณสมหมายกล่าวว่า
สิ่งที่ต้องการทราบเพิ่มเติม คือ
พระองค์ทรงประสบปัญหาและอุปสรรคอย่างไรบ้าง
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจเมื่ออ่านหนังสือเฉลิมพระเกียรติเล่มนี้ คือ
จะพบว่าพระองค์จะไม่ทรงดำรัสถึงปัญญาออกมา
แต่พระองค์จะทรงแก้ปัญหาด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่าง ให้มีความเพียร
ทรงสอน ตรัสให้คิด ไม่เน้นที่การพูดถึงปัญหา |
|
ดังนั้น
หากเป็นไปได้ จึงอยากให้มีการวิจัยเพิ่มเติมในเชิงลึกว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาอย่างไร
เมื่อประสบปัญหาความขัดแย้งในหมู่คนทำงาน
ทรงแก้ปัญหาอย่างไรเมื่อเจอข้าราชการเช้าชามเย็นสองชาม
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดภาวะวิกฤติของประเทศ
ทรงมีการบริหารจัดการและแก้ไขสถานการณ์อย่างไร
คุณสมหมายกล่าวเพิ่มเติมในช่วงท้ายของกาเสวนาว่า
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องการเห็นเพิ่มเติมคือ
การนำพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมของทุกปี
มาวิเคราะห์วิจัย และสะท้อนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น
