แผนการบริหารราชการแผ่นดิน

      
แผนการบริหารราชการแผ่นดิน : คือกรอบและแนวทางในการจัดทำแผนนิติบัญญัติและแผนปฏิบัติราชการเพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินตลอดระยะเวลา 4 ปี

         ที่มาของ “ แผนการบริหารราชการแผ่นดิน” ซึ่งเกิดขึ้นจาก พ.ร.ฎ.เกี่ยวกับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 13 และมาตรา 14 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มี แผนการบริหารราชการแผ่นดิน ครอบคลุมระยะเวลา 4 ปีของการบริหาร ราชการของคณะรัฐมนตรี

โดยนำนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภามาดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแผนพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง    

ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา  ภายใน 90 วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา 

นอกจากนี้ ในมาตรา 15 กำหนดว่า    เมื่อมีการประกาศใช้บังคับแผนการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกันพิจารณาจัดทำ แผนนิติบัญญัติ  โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับ กฎหมายที่จะต้องจัดให้มีขึ้นใหม่ หรือกฎหมายที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน

และในมาตรา 16 นั้น ได้กำหนดเพิ่มเติมให้ส่วนราชการต้องจัดทำ แผนปฏิบัติราชการ ของตน โดยจัดทำเป็นแผน 4 ปี และแผนปฏิบัติ ราชการประจำปี ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดินด้วย

แผนการบริหารราชการแผ่นดินคืออะไร ?

               การจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินนั้น เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับแนวคิดของระบบการเมืองการปกครอง ในระบบประชาธิปไตยโดยมุ่งเน้นให้คณะรัฐมนตรี หรือผู้บริหารราชการแผ่นดินฝ่ายการเมือง แสดงภาวะผู้นำเพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย วางยุทธศาสตร์ และกำกับดูแล ควบคุมให้ฝ่ายราชการประจำทำหน้าที่รับผิดชอบในการนำไปปฏิบัติให้บรรลุผล

ดังนั้น แผนการบริหารราชการแผ่นดิน จึงเป็น แผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ( government strategic plan) ที่แสดงวิสัยทัศน์และทิศทางการทำงานของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 4 ปี ตามกรอบแนวทางที่ได้แถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคณะรัฐมนตรีในการบริหารปกครองประเทศ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  1. ประเด็นวาระในภาพรวมของรัฐบาล ( government-wide agenda) หรือ ยุทธศาสตร์หลัก (strategic result areas) ที่มุ่งเน้น หรือให้ความสำคัญ เช่น ด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นต้น
  2. เป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ (strategic goals) ประกอบด้วย ตัวขี้วัด (key performance indicators) และค่าเป้าหมาย (targets) ของแต่ละประเด็นวาระ/ยุทธศาสตร์หลัก เพื่อใช้ประโยชน์ในการกำกับดูแลควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
  3. แผนผังเชิงยุทธศาสตร์ (strategy map) ที่แสดงให้เห็นภาพความสัมพันธ์เชื่อมโยงเชิงเหตุผล (logic model) ของกลยุทธ์/ตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือปัจจัยแห่งความสำเร็จ (critical success factors) ในแต่ละประเด็นวาระ/ยุทธศาสตร์หลัก

การจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินจึงเป็นประโยชน์สำหรับเป็นแม่บท หรือการอ้างอิงในการบูรณาการเพื่อถ่ายทอดลงไปยังระดับพื้นที่ (area-based approach) และระดับกระทรวง (functional-based approach) เพื่อช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันในทุกมิติ และทุกระดับ โดยการถ่ายทอดลงไปยังระดับพื้นที่ และระดับกระทรวงนั้น จะแบ่งเป็น

  1. รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลเขตพื้นที่ หรือกลุ่มจังหวัด ดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด/จังหวัด
  2. รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ของกระทรวง (หรือแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง ตามนัยของมาตรา 16 แห่ง พ.ร.ฎ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546)

ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ในระดับพื้นที่และกระทรวงนั้น จะต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ โดยจะกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นวาระเฉพาะ (area/functional agenda) หรือผลงานหลัก (key result areas) ที่ต้องการมุ่งเน้นหรือให้ความสำคัญ ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมาย แผนผังยุทธศาสตร์ของตนที่สอดคล้องกับแผนการบริหาราชการแผ่นดิน

นอกจากนี้ แผนการบริหารราชการแผ่นดินยังเป็นประโยชน์ในการจัดวางแผนนิติบัญญัติ (legislative program) แผนการเงินการคลังของรัฐบาล โดยเฉพาะการประมาณการเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายล่วงหน้าในระยะปานกลาง (medium-term forward estimation) และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐด้วย

สรุปแล้วแผนการบริหารราชการแผ่นดินนั้น เป็นเครื่องมือสมัยใหม่ที่จะช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารปกครองประเทศในเชิงรุกได้อย่างเป็นระบบ เกิดการบูรณาการการเชื่อมโยง ซึ่งจะช่วยให้เกิดพลังและสามารถขับเคลื่อนการทำงานของภาครัฐให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น

แผนการบริหารราชการแผ่นดินจะเป็นเสมือนกรอบแม่บทในการถ่ายทอดนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ ทั้งในระดับพื้นที่ (กลุ่มจังหวัด/จังหวัด) และระดับกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากร (เงิน/คน) ตลอดจนการติดตามตรวจสอบและประเมินผลการบริหารราชการแผ่นดิน

ขั้นตอนการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน

ขั้นตอนในการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นไปตามหลักการสำคัญในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2547 ได้แก

  1. เมื่อคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้มีคณะกรรมการ 2 คณะ คือ คณะกรรมการจัดทำรายงานสรุปสภาวะของประเทศ และ คณะกรรมการรวบรวมข้อมูล
     
  2. ให้ปลัดกระทรวงจัดทำรายงานสรุปผลการปฏิบัติราชการของกระทรวง และรวบรวมข้อมูลตามที่คณะกรรมการรวบรวมข้อมูลกำหนด ส่งให้คณะกรรมการรวบรวมข้อมูล ซึ่งถ้าจำเป็นจะกำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการระดับต่ำกว่ากระทรวง/จังหวัดต้องจัดทำรายงานและรวบรวมข้อมูลส่งด้วยก็ได้
     
  3. ในการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นประธาน เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะสั่งเป็นอย่างอื่น และให้นำข้อมูลจากคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลมาประกอบการพิจารณา โดยต้องจัดทำร่างแผนการบริหารราชการแผ่นดินให้แล้วเสร็จและเสนอนายกรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป จากนั้นเมื่อผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษ
     
  4. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกันจัดทำแผนนิติบัญญัติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบภายใน 120 วัน นับแต่วันที่แผนการบริหารรราชการแผ่นดินประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ในการพิจารณาให้ทั้ง 2 หน่วยงานประชุมร่วมกันโดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานการประชุม
     
  5. ส่วนราชการจะต้องแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบถึงความจำเป็น ที่สมควรร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภายังไม่ได้ให้ความเห็นชอบ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง หรือมีการยุบสภาฯ รวมทั้งกรณีที่จำเป็นต้องจัดให้มีกฎหมายใหม่ แก้ไข หรือยกเลิกกฎหมาย ที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน
     
  6. ให้ส่วนราชการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปี ภายในเวลาที่กำหนด และในระหว่างการปฏิบัติตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าคณะรัฐมนตรีมีมติให้ปรับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เหมาะสมกับนโยบายของรัฐบาล หรือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ดำเนินการแก้ไขแผนฯ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขแผนนิติบัญญัติ และแผนปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดินที่แก้ไขด้วย
ความคืบหน้าในการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน

สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ร่วมกับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยเชิญหัวหน้าส่วนราชการและผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าร่วม เพื่อระดมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 26 – 27 มีนาคม 2548

ในช่วงเช้า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล โดยสรุปได้ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง หลักคิดในการบริหารราชการ ว่า จะต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง บริหารราชการให้เกิดประสิทธิภาพ ใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่า เพื่อให้เกิดประโยชน์ประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันทำหน้าที่ ทำงานเป็นทีม และรับฟังความคิดเห็นจากภายนอก ไม่ใช่ใช้ความคิดของตนเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ จะต้องไม่มีเส้นแบ่งเขตองค์กร ( border line) ที่เข้มเกินไปจนไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่จะต้องทำให้เกิดการประสานงานที่ดี และการทำงานร่วมกันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเส้นแบ่งเขต ไม่ยึดติดว่าเป็นงานของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่รับผิดชอบร่วมกันเพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ ทำให้ประชาชนมีความสุข

อีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งเป็นหลักของการจัดประชุมครั้งนี้ก็คือ การประชุมกลุ่มย่อย 8 กลุ่ม ซึ่งแบ่งตามยุทธศาสตร์หลักของรัฐบาล 8 ยุทธศาสตร์ เพื่อหารือร่วมกันในการจัดรายละเอียดของแผนการบริหารราชการแผ่นดินในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์ ทั้งในเรื่องของเป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด เป้าหมาย กลยุทธ์หลัก รวมทั้งผู้รับผิดชอบ ทั้งเจ้าภาพหลัก เจ้าภาพรอง และเจ้าภาพร่วม โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแลในแต่ละยุทธศาสตร์เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา

และหลังจากที่ได้ประชุมหารือเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่ 27 มีนาคม 2548 ก็ได้มีการนำเสนอผลที่ได้จากการประชุม โดยส่วนราชการที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์เป็นผู้นำเสนอ โดยมี รองนายกรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน ซึ่งในเบื้องต้นนั้น สรุปประเด็นคร่าวๆ ได้ดังนี้

ประเด็นยุทธศาสตร์ 1+3
นโยบายขจัดความยากจน + นโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและแข่งขันได้ ( มั่งคั่ง )
ประเด็นยุทธศาสตร์ 2
นโยบายพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ
ประเด็นยุทธศาสตร์ 3
นโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและแข่งขันได้ (Logistics)
ประเด็นยุทธศาสตร์ 4
นโยบายบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประเด็นยุทธศาสตร์ 5
นโยบายความสัมพันธ์และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ประเด็นยุทธศาสตร์ 6
นโยบายส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ประเด็นยุทธศาสตร์ 7
นโยบายส่งเสริมประชาธิปไตยและกระบวนการประชาสังคม
ประเด็นยุทธศาสตร์ 8
นโยบายรักษาความมั่นคงของรัฐ

 

การดำเนินงานในขั้นต่อไป

สำหรับสิ่งที่ ต้องดำเนินการต่อไปหลังจากนี้คือ

  1. ทุกหน่วยงานพิจารณาปรับแก้แผนการบริหารราชการแผ่นดินและส่งให้ฝ่ายเลขานุการของแต่ละยุทธศาสตร์ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2548

    ยุทธศาสตร์ที่ 1- 5 ส่งที่สภาพัฒน์

    ยุทธศาสตร์ที่ 6 - 7 ส่งที่สำนักงาน ก.พ.ร.

    ยุทธศาสตร์ที่ 8 ส่งที่สภาความมั่นคง

  2. เสนอแผนการบริหารราชการแผ่นดินที่ปรับแก้แล้ว ต่อคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 12 เมษายน 2548
  3. ให้ส่วนราชการกลับไปทบทวนคำของบประมาณปี พ.ศ. 2549 ให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล และแนวทางของแผนการบริหารราชการแผ่นดิน แล้วส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ 25 เมษายน 2548
  4. ให้เจ้าภาพยุทธศาสตร์ร่วมกับหน่วยงานกลาง จัดทำ workshop กับหน่วยงานเครือข่าย (เจ้าภาพรอง และผู้ที่เกี่ยวข้อง) ในแต่ละยุทธศาสตร์ ในช่วงสัปดาห์ที่ 1 – 3 ของเดือนเมษายน 2548     เพื่อชี้แจง ทำความเข้าใจ และสามารถนำไปไปถ่ายทอดเป็นแผนปฏิบัติราชการ 4 ปีได้ถูกต้องเหมาะสม
  5. ให้ทุกส่วนราชการ (กระทรวง กรม และจังหวัด) ปรับแผนงาน โครงการของตนเอง ให้สอดคล้องกับแผนการบริหารรราชการแผ่นดิน ที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์จากแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ไปสู่แผนปฏิบัติราชการ 4 ปี ได้ และนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีผู้กำกับยุทธศาสตร์ ในสัปดาห์ที่ 3 - 4 ของเดือนพฤษภาคม 2548
  6. นำแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี ของกระทรวง และกลุ่มจังหวัด เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 14 มิถุนายน 2548