ฉบับที่ 8 ประจำเดือน ตุลาคม 2548

สวัสดีค่ะ ก.พ.ร. e-newsletter ฉบับนี้พบกับข่าวสารการพัฒนาระบบราชการ งาน 3 ปี แห่งการพัฒนาระบบราชการ และเรื่องน่ารู้ประจำฉบับที่น่าสนใจค่ะ


gotomanager.com/books/
valuebasedmanagement.net

ก.พ.ร. จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น
จากเครือข่ายทั่วทุกภาค
เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วม
ในการพัฒนาระบบราชการ

              
            ในปี 2548 นี้ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้เดินหน้าส่งเสริมในเรื่องการสร้างเครือข่ายการพัฒนาระบบราชการ โดยจัดประชุมสัมมนา “เครือข่ายและการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาระบบราชการ” ซึ่งเป็นการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากเครือข่ายทั่วประเทศเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการระดับจังหวัด โดยมีกลุ่มเป้าหมายประกอบไปด้วย ข้าราชการ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย หอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สมาคมธุรกิจภาคต่างๆ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) สื่อมวลชน และสมาชิกเครือข่ายการพัฒนาระบบราชการ

       
กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการเสริมสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ ที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ โดยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วม ผ่านกระบวนการ และช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เืพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่ 7 ของ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2546 - 2550) ที่มุ่งเน้นให้มีการเปิดระบบราชการเข้าสู่กระบวนการความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยการยอมรับและให้ประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอแนะความคิดเห็น ร่วมปฏิบัติงาน และการตรวจสอบผลการดำเนินงาน
            การสัมมนาได้แบ่งออกเป็นภาคต่าง ๆ โดยจัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ดังนี้

           ภาคเหนือ  เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2548  ณ โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่

           ภาคใต้  เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2548  ณ โรงแรมเจ บี หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

           ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2548  ณ โรงแรมโซฟิเทล ราชาออคิด จังหวัดขอนแก่น

           ภาคกลาง  เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2548  ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนแวนชั่น กรุงเทพมหานคร

สำหรับเนื้อหาของการสัมมนานั้นเน้นในเรื่องของการสร้างความเข้าใจในการพัฒนาระบบราชการ และ การสร้างเครือข่ายทั้งในภาคราชการ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งสื่อมวลชน

            ท่าน ก.พ.ร. อรพินท์ สพโชคชัย ในฐานะประธาน อ.ก.พ.ร.เีกี่ยวกับการเผยแพร่ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ ได้กล่าวเรื่อง “ทิศทางและนโยบายในการพัฒนาระบบราชการ และการพัฒนาคุณภาพการบริการประชาชน” ว่า ในอดีตระบบราชการมีปัญหาในเรื่องของธรรมาภิบาล ซึ่งต้องสร้าง GOOD GOVERNANCE ให้เกิดขึ้น และอีกปัญหาคือ การบริหารงานแบบดั้งเดิม ซึ่งต้องแก้ไขด้วยการสร้างให้มีการประยุกต์หลักการบริหารราชการยุคใหม่ (New Public Management : NPM) ทั้งนี้ เพื่อให้ระบบราชการเป็นที่พึงปรารถนา กล่าวคือ ตอบสนองความต้องการและประโยชน์สุขของประชาชน


เน้นบทบาทที่จำเป็น บริหารงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ ประสิทธิภาพประสิทธิผล เน้นหลักคุ้มค่า ทันสมัย นอกจากนี้ ยังต้องมีความเที่ยงธรรมและรับผิดชอบ ยืนหยัดในความถูกต้อง ประชาชนมีส่วนร่วม สุจริตโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

ทั้งนี้ เพื่อสนองตอบเป้าประสงค์หลักของการพัฒนาระบบราชการ อันได้แก่ พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนที่ดีขึ้น (better service quality) ปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดให้มีความเหมาะสม (rightsizing) ยกระดับขีดความสามารถของข้าราชการ และมาตรฐานการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ให้อยู่ในระดับสูงและเทียบเท่าเกณฑ์มาตรฐานสากล (high performance) ตอบสนองต่อการบริหารปกครองในระบอบประชาธิปไตย และสุดท้ายคือ เปิดระบบราชการสู่กระบวนการความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น (democratic governance)


ด้าน
รองเลขาธิการ ก.พ.ร. พรพิมล รัตนพิทักษ์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า บทบาทภารกิจหลักของสำนักงาน ก.พ.ร. คือ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งในปัจจุบัน การบริหารราชการเป็นแบบระบบเปิด (Open Governance) โดยให้ประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ  รวมถึงภาคประชาสังคม มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมใน 5 มิติ คือ (1) ร่วมคิดและเสนอความคิดเห็น  (2) ร่วมตัดสินใจ  (3) ร่วมดำเนินการ  (4) ร่วมรับประโยชน์  และ (5) ร่วมติดตามผลการดำเนินงาน ซึ่งในทางปฏิบัติที่เป็นสากลนั้น การดำเนินการในเรื่องการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมจะมีหลายรูปแบบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การให้ข้อมูลแก่ประชาชน การจัดประชาพิจารณ์ การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น การจัดสัมมนาและประชุมชี้แจง รวมทั้งการจัดให้มีเครือข่ายการทำงานร่วมกัน หรือเครือข่ายองค์กรประชาชน
               ดังนั้น การดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและมีความสำคัญ เพราะจะเป็นการเปิดระบบราชการเข้าสู่กระบวนการความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ประชาชนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในสังคมยอมรับและเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอแนะความคิดเห็น ร่วมปฏิบัติงาน และร่วมตรวจสอบผลการดำเนินงานของภาครัฐ ซึ่งในปัจจุบันมีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ที่ให้ความสำคัญต่อการบริหารราชการอย่างสุจริตโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูล และการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การตัดสินใจทางการเมืองและนโยบายสาธารณะ รวมถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในทุกระดับ
    
ท่าน ก.พ.ร. อรพินท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ท้าทายมากที่สุดในการพัฒนาระบบราชการ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และ วัฒนธรรมการทำงานของข้าราชการทุกระดับ ให้้สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นในโลกได้อย่างทันท่วงที
            
                และในครั้งสุดท้ายของการจัดสัมมนา ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ดร. ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมกิจการบ้านเมืองที่ดี กล่าวในหัวข้อ "เครือข่ายส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี" ว่า ความจำเป็นที่จะต้องมีเครือข่ายความร่วมมือในการส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีนั้น เนื่องจากมีปัญหาเรื่องของข้อจำกัดในการเข้าถึงความรู้ ข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันทำความเข้าใจปัญหา และกำหนดทางเลือกใหม่ ๆ ของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และความปรารถนาที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ดังนั้น จึงต้องมีเครือข่ายมาเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว

  ทั้งนี้ หลักการทำงานของเครือข่าย ประกอบด้วย 1. ทุกฝ่ายมีเกียรติ ศักดิ์ศรี สิทธิ โอกาสที่เท่าเทียมกัน 2. เป็นการทำงานแนวราบ ไม่มีการสั่งการจากฝ่ายใด 3. เป็นกระบวนการเรียนรู้โดยผ่านการทำงานร่วมกัน

           ประโยชน์ของเครือข่ายความร่วมมือ ได้แก่ (1) ตัดสินใจได้เร็ว แก้ปัญหาได้เร็ว ท่ามกลางความไม่แน่นอน และความสลับซับซ้อนของปัญหา  (2) ลดค่าใช้จ่ายการบริหารราชการและผู้ใช้บริการ  (3) ให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายได้ตรงความต้องการ  (4) เป็นการสร้างทุนทางสังคมให้แก่หน่วยงานและประเทศ


นอกจากนี้ ดร.ชาติชาย ยังได้แนะนำให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รู้จักปรัชญาของความร่วมมือ ซึ่งประกอบด้วย การส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานงานมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดและข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด การลดเงื่อนไขและปัจจัยปิดกั้นการมีส่วนร่วมคิดของทุกคน ต้องให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ปฏิบัติงานให้มากที่สุด ส่งเสริมจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงาน คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ และกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกเป็นเจ้าของผลลัพธ์ของงานที่ดี ไม่ใช่เป็นเจ้าของความคิด

           หลักพื้นฐาน 4 ประการของกระบวนการร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ ได้แก่
             1. ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม
             2. ทำให้ “เห็น” ข้อมูลข่าวสาร
             3. ข้อมูลข่าวสารที่เคลื่อนย้ายได้
             4. เพลินและสนุกกับการคิดและทำร่วมกัน

   
ดร.ชาติชาย กล่าวเสริมในเรื่อง แนวทางการจัดการแบบเครือข่าย ว่า ต้องประกอบด้วย
           1. การแสวงหาจุดมุ่งหมายร่วมกัน (Purpose)
           2. การกำหนดความเชื่อพื้นฐานร่วมกัน (Principle)
           3. การกำหนดความสามารถที่ต้องมีร่วมกัน (Capability)
           4.การกำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายและความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ความรับผิดชอบต่อกัน (Concept)        
          
5. การกำหนดกฏ ระเบียบที่ยึดโยงความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน (Structure)
           6. การกำหนดโครงการ กิจกรรมที่ควรทำร่วมกัน (Practice)

           อย่างไรก็ดี การสร้างเครือข่าย ยังมีอุปสรรคของการจัดการความร่วมมือหลายด้านด้วยกัน

           “ผมว่าผู้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก ไม่มีแรงพลังพอที่จะทำให้เครือข่ายความร่วมมือเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้กำหนดการทำงานและความสำเร็จทีละขั้น อีกทั้งขาดความวิริยะในการผลักดันให้มีความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง และไม่ได้ปลูกฝัง ‘ความร่วมมือกัน' ให้เป็นวัฒนธรรมของหน่วยงาน ผู้คนนิ่งนอนใจ เห็นว่าเครือข่ายความร่วมมือเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน ขาดแรงผลักดันที่มากพอจากกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ขาดวิสัยทัศน์ที่มีพลังชี้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ให้รู้และยอมรับร่วมกันระหว่างหน่วยงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นสำคัญ” ดร.ชาติชายกล่าว

สำหรับแนวทางการเสริมสร้างเครือข่าย ดร.ชาติชายได้แนะนำไว้ว่า
           1. การบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงาน
           2. ผู้บริหารมีหน้าที่ในการเป็นผู้อำนวยความสะดวก
           3. สร้างวิสัยทัศน์ของกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน
           4. ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมแข็งขันในกระบวนการทำงาน
           5. ทุกคนเป็นกำลังสำคัญของกลุ่ม
           6. ผู้ปฏิบัติงานเห็นและเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างงาน
           7. มีการรับฟังและติชมผลงาน
           8. งานที่ทำสร้างความรู้สึกพึงพอใจและความสำเร็จแก่ผู้ปฏิบัติ
           9. มีการทบทวนสะท้อนความคิดถึงสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว

           10. มีการเรียนรู้ผลการทำงานเพื่อปรับปรุงทักษะและผลงานอย่างต่อเนื่อง
           11.สมาชิกกลุ่มทุกคนสามารถพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของตน อย่างต่อเนื่อง

สำหรับการจัดประชุมและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากเครือข่ายทั่วทุกภาค ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี นั่นแสดงให้เห็นว่า ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ  ของสังคม มีความสนใจและกระตือรือร้นในการพัฒนาระบบราชการ และมองเห็นว่า หากระบบราชการมีการพัฒนา ประเทศชาติก็จะมีการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายตามที่หวังไว้ได้