นายกรัฐมนตรีบรรยายพิเศษ
เรื่อง ผู้บริหารระดับกลางและ
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผล
|
ฉบับนี้ขอนำการบรรยายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในหัวข้อ "ผู้บริหารระดับกลางและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผล" ในการประชุมนายกรัฐมนตรี พบผู้บริหารระดับกลาง ณ Hall 2 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 ที่ผ่านมา
|
"ผู้บริหารระดับกลางและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผล"
โดย... พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
|
|
ท่านรองนายกรัฐนตรี ท่านรัฐมนตรี ท่านเลขาธิการ ก.พ.ร. ผู้บริหารระดับสูง ท่านผู้บริหารระดับกลางของประเทศที่รักและ เคารพทุกท่าน
วันนี้ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มาพบกับผู้บริหารระดับกลาง |
ซึ่งปกติแล้วจะไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะการทำงานก็มักจะเจอกับผู้บริหารระดับสูง เป็นส่วนใหญ่ และก็คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดที่อยากลงมา ทำงานแบบนี้ แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงพิเศษของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศ คือ มีการพัฒนาระบบราชการ มีการนำระบบบริหารราชการ แบบใหม่มาใช้ และยังมีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม ในการทำงาน ร่วมกันใหม่ เพราะฉะนั้นเลยจำเป็นอย่างยิ่งที่ผมจะเชิญพวกท่านมาพบกัน ได้คุยกันเพื่อที่จะได้เข้าใจ ว่าเราจะ เดิน
ไปทางไหน
|
เวลานี้ ความเข้าใจว่าเราจะเดินไปทางไหน เดินอย่างไร ก็เข้าใจกันในระดับผู้บริหาร ระดับสูง แต่พอมาถึงผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหารระดับล่างก็เริ่มจะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะว่าเรา เปลี่ยนแปลงมาก แต่ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะไม่ทันเขาจริง ๆ เพราะเวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1997 ก็คือ วิกฤติทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ความที่เรารู้ไม่เท่าทันโลกาภิวัตน์และทุนนิยม จึงได้พ่ายแพ้ และประสบวิกฤติทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ภาครัฐเสียหายแต่เสียหายทั้งภาคประชาชนและภาคเอกชนด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ใหญ่หลวงมากนัก ซึ่งกว่าเราจะกู้กลับคืนมาได้ก็ด้วยความยากลำบาก แต่ถ้าเรายังไม่พัฒนา ตัวเราเอง ก็จะย้อนกลับไปที่เดิมอีก ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าการที่ประเทศไทยต้องลดค่าเงินบาท ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพราะความไม่รู้เท่าทัน และพัฒนาตนเองไม่ทัน เพราะฉะนั้นการจะรู้เท่าทันและพัฒนาตนเองให้ทัน ความรู้เป็น เรื่องที่ต้อง ทำงานหนัก และต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
|
วันนี้ต้องขอขอบคุณทาง ก.พ.ร. ที่ได้จัดงานนี้ขึ้น ผมได้พูดเรื่องนี้หลายครั้ง จนในที่สุดผมได้อ่านหนังสือ เล่มหนึ่งคือ High Impact Middle Management ของคุณ Lisa Haneberg ซึ่งทางสำนักงาน ก.พ.ร. ก็ได้เชิญมาบรรยายด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก หลักที่คุณ Lisa เขียนและเราคิดกันได้ คือ บางทีผมพูดกับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี ความเข้าใจอยู่แค่ระดับนั้น แต่ลงไปไม่ถึง สังเกตได้จากเสียงวิจารณ์ของนักวิจารณ์ ซึ่งวิจารณ์ด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ได้ติดตามว่าเรื่องเป็นอย่างไร บางทีไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด และไม่เข้าใจเรื่องพิเศษแต่ละเรื่อง ก็เลยต้องพยายามอธิบาย เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าถ้าผู้บริหารระดับกลางซึ่งเป็นกลไกสำคัญ ของการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่เข้าใจ จะยิ่งไปกันใหญ่ จึงมีแนวคิดที่จะพบกับผู้บริหารระดับกลาง
|
สาเหตุที่ทำให้ผู้บริหารระดับกลางมีความหมายมาก ให้ลองนึกถึงระบบส่งวิทยุ สมมติว่าผมจะส่งวิทยุ ซึ่งวิทยุนั้นจะส่งได้แค่ 5 กิโลเมตร แต่มีคนที่ผมต้องการจะสื่อถึงอยู่ห่าง 8 กิโลเมตร ดังนั้น จะส่งอย่างไรก็ส่ง ไม่ถึง จึงจำเป็นต้องมี Repeater หรือเครื่องทวนสัญญาณ โดยรับสัญญาณจากผมในจุดที่สัญญาณยังชัดเจน
มาก ๆ และมีกำลังส่งต่อที่ชัดเจนมาก ๆ สัญญาณนั้นก็จะ ชัดเจน นั่นคือ สิ่งที่ผมพูดก็จะไปถึงสิ่งที่ปลายทาง
ได้ยิน เพราะฉะนั้น Repeater นี้ก็คือ Middle Management หรือ ผู้บริหารระดับกลาง นั่นเอง Repeater จะต้องมีภาครับดี และภาคส่งดี เพราะถ้าภาครับดี แต่ภาคส่งดี ก็ไปไม่ถึง หรือภาครับไม่ดีก็ได้ยินไม่ชัด เพราะฉะนั้น พวกท่านทั้งหลายนอกจากมาฟังผมแล้ว อาจจะต้องมีการฝึกอบรมต่อ เพื่อให้ท่านมีภาครับและภาคส่งที่ดีนั่นเอง สัญญาณนี้จะลงไปถึงผู้ปฏิบัติ เพราะว่าผู้ปฏิบัติคือผู้ที่จะต้องสัมผัสกับ ประชาชนผู้มาขอรับบริการ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจทิศทางประเทศ ก็จะปฏิบัติไปวัน ๆ หนึ่ง ไม่มีจิตวิญญาณของการต้องทำงาน คนทำงานต้องมีจิตวิญญาณ ถ้าคนทำงานไม่มีจิตวิญญาณก็ทำงานยาก แต่ทำงานจะมีจิตวิญญาณได้อย่างไร ก็โดยการต้องเข้าใจว่าองค์กร ของเขามียุทธศาสตร์อย่างไร และเนื่องจากเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เขาจะมีส่วนช่วยให้องค์กร ประสบความสำเร็จได้อย่างไรนี่คือสิ่งที่เราพยายามอย่างยิ่งที่จะให้พวกท่านทั้งหลายเป็นกลไกสำคัญ ในการสร้างความเข้าใจ ในยุทธศาสตร์ ของประเทศ และไปสร้างความเข้าใจต่อให้กับผู้ใต้บังคับ
บัญชาของท่านซึ่ง จะต้องสัมผัสกับประชาชน ให้ได้รู้จริงถึงสิ่งที่เรากำลังจะทำ
|
|
ผมขอปูพื้นเพื่อความเข้าใจ โดยให้ท่านลองเปรียบเทียบว่าแผนที่ประเทศไทยนั้น เปรียบเสมือนร่างกาย มนุษย์คนหนึ่ง สมมติว่ามนุษย์คนนี้ชื่อ นายประเทศไทย แผ่นดินทั้งแผ่นดินก็คือร่างกาย ประชาชนทุกคนเปรียบเสมือนเซลล์ล์หนึ่งเซลล์ที่ ประกอบเป็นร่างกาย ระบบราชการทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น คืออวัยวะแต่ละชิ้นที่อยู่ในร่างกาย สถาบันพระมหากษัตริย์และระบบประชาธิปไตย คือจิตวิญญาณ สิ่งเหล่านี้ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายที่มีเซลล์ อวัยวะ และจิตวิญญาณ
|
ดังนั้น ทุกคนมีหน้าที่ร่วมกัน ต้องพึ่งพากัน ร่วมมือกัน มี Interdependency ต่อกัน เวลานี้เซลล์ทั้งหลาย คุยกันได้ อวัยวะคุยกันได้ และมีจิตวิญญาณที่เราต้องได้ยินอยู่ตลอดเวลา กำลังจะพาให้มนุษย์ ซึ่งคือ
ประเทศไทย แข็งแรงให้ได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนมีส่วนสำคัญของประเทศทั้งนั้น ประชาชน 1 คน
คือเซลล์ 1 เซลล์ หากเซลล์ตายหนึ่งเซลล์ แม้จะไม่มีผลทันทีต่อร่างกาย แต่ก็มีผลผ่อนส่ง ดังนั้น
เซลล์ทุกเซลล์ต้อง แข็งแรง ประเทศไทยที่ประกอบเป็นร่างกายก็จะแข็งแรง นอกจากนี้ ระบบราชการทุกระบบต้องแข็งแรง และต้องมีจิตวิญญาณด้วย หากร่างกายขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ร่างกายนี้ก็พิการ |
เพราะฉะนั้น วันนี้ผมอยากอธิบายให้พวกท่านเข้าใจว่า ถ้าท่านไม่เข้าใจจุดหมายปลายทาง ที่เราจะไปด้วยกัน ท่านก็จะทำงานเหมือนทำไปวัน ๆ หนึ่ง ผมไม่อยากให้ข้าราชการตื่นเช้ามาทำงานโดยมีความรู้สึกว่าต้องไป ทำงานอีกแล้ว ทำงานไปวัน ๆ และนั่งรอเวลาเลิกงาน แบบนี้จิตวิญญาณไม่มี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารระดับกลาง อย่างพวกท่านทั้งหลาย ยิ่งถ้าไม่มีจิตวิญญาณมาทำงาน จะยิ่งไปกันใหญ่ |
ทุกวันนี้ นโยบายทั้งหลายที่ออกมาเป็นชิ้น ๆ เพื่ออะไร บางคนไม่เข้าใจ บ้านเรารู้จักแต่ Fragmentation โดยไม่ค่อยรู้จักคำว่า Integration จึงจับอะไรเป็นชิ้น ๆ ต่อภาพไม่เป็น ละวิจารณ์ทีละชิ้น ซึ่งก็จะไม่เข้าใจ ผมจึงอยากให้เห็นก่อนว่า ทั้งหมดทำไปเพื่ออะไร เราเข้าใจแล้วว่ามนุษย์ชื่อประเทศไทยนั้น ประกอบด้วย
ส่วนต่าง ๆ ที่มีความสำคัญเป็นร่างกายที่เข้มแข็ง แต่ข้างในก็มีเซลล์ ซึ่งก็คือประชาชน เราจะต้องรักษาเซลล์ทุกเซลล์ให้มีความแข็งแรง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
|
นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลได้ประกอบกันขึ้นเพื่อทำให้เซลล์หรือคนไทยแต่ละคนมีความเข้มแข็ง ในด้านต่าง ๆ ทั้งทางร่างกาย (Physical) เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบายเรื่องกีฬา การปราบปราม ยาเสพติดให้โทษ
|
ความแข็งแรงทางจิตใจ นั่นคือการยึดโยงสถาบันครอบครัวให้มีความเข้มแข็ง การฟื้นวัฒนธรรม หลักธรรมคำสั่งสอนทางศาสนาที่ท่านนับถือ ให้เป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้คนมีจริยธรรม ความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้เกิดครอบครัวที่เข้มแข็ง
|
ความเข้มแข็งทางปัญญา ก็คือระบบการศึกษาทั้งในและนอกแบบ ไม่ว่าจะเป็นสายสามัญ การศึกษานอกโรงเรียน มหาวิทยาปิด มหาวิทยาลัยเปิด ทุกอย่างเหล่านี้เพราะต้องการให้เกิด Freedom education ให้มีเสรีภาพทางการศึกษามาก ๆ ระบบ ICL ระบบกู้ยืมเพื่อการศึกษาทั้งหลาย ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ของนโยบาย เพื่อให้คนไทยได้มีความสามารถและความเข้มแข็งทางปัญญา |
ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ คือ อยู่รอดในยุคเศรษฐกิจทุนนิยม ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจเดียว ในโลกนี้ วันนี้ ชอบไม่ชอบก็ต้องอยู่ในระบบเศรษฐกิจนี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำให้คนไทย สามารถอยู่รอดใน เศรษฐกิจทุนนิยม ตัวอย่างเช่น นโยบายพักหนี้ให้เกษตรกรรายย่อย การปรับโครงสร้างหนี้ให้ประชาชนทั่วไป เกษตรกร และข้าราชการ นโยบายเพิ่มรายได้ นโยบายเข้าหาแหล่งทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน OTOP |
ทั้งหมดนี้คือนโยบายของรัฐบาลที่จะมาเสริมสร้างเพื่อให้คนไทยมีความแข็งแรงทั้งทางเศรษฐกิจ ทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางปัญญา สรุปคือ เป็นรัฐบาลที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-centered) ทำทุกนโยบายกลับไปที่ประชาชน
|
|
เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ท่านจะต้องรับภาระต่อ สิ่งที่ท่านจะต้องเข้าใจคือ นโยบายทุกนโยบายที่ออกมานั้น กลับไปที่ประชาชนหมด ท่านก็คือประชาชน ครอบครัว เพื่อนฝูงของท่านก็คือประชาชน คนที่ท่านไม่รู้จัก แต่เป็นคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยนี้ก็คือประชาชนที่เราจะต้องมีหน้าที่ทำให้เขา มีความแข็งแรงทั้ง 4 ด้านโดยการนำพานโยบายของรัฐบาลทุกด้านไปปฏิบัติ
|
กลับมาที่นายประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถอยู่ได้ตามลำพัง ต้องมีสิ่งหุ้มห่อตัวเอง นั่นก็คือ เรื่องของต่างประเทศ
โลกาภิวัตน์ สิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้น นโยบายที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางก็ต้องกลับมาที่ตัวประเทศไทย นั่นคือ นโยบายด้านความมั่นคง นโยบายด้านการต่างประเทศ นโยบายในเรื่องของการปรับตัวเพื่อเข้าสู่กระแส
โลกาภิวัตน์ ก็เพื่อให้ประเทศไทยเข้มแข็ง
|
เมื่อท่านจินตนาการได้ตามนี้ ท่านก็จะเข้าใจว่า นโยบายทั้งหมดคือการต่อภาพจิ๊กซอว์ เป็นจิ๊กซอว์ 2 ระดับ ระดับที่ 1 คือ ทำให้ประเทศไทยเข้มแข็ง ระดับที่ 2 คือทำให้ประชาชนคนไทยทั้งหมดเข้มแข็ง จึงได้มีนโยบาย ต่าง ๆ โดยพุ่งเป้าไปที่ความเข้มแข็งของประเทศและประชาชนนั่นเอง ยังไม่มีนโยบายใด เพื่อคนอื่น อยากให้ท่านเข้าใจพื้นฐานตรงนี้
|
|
นโยบายอีกเรื่องหนึ่งเป็นการทำให้ประเทศไทย มีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ นโยบายที่เกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูป กฎหมาย และพัฒนาคนในระบบกลไกของราชการ ทั้งนี้ เพราะเราต้องการให้ทั้งระบบที่ประกอบ ขึ้นเป็น ประเทศไทย มีความเข้มแข็ง ทั้งหมด ผมพยายามทำ หลาย ๆอย่าง เพราะเราต้องการให้ทุกส่วนซึ่งมีชีวิตอยู่ในตัวเอง เข้มแข็ง เพื่อรวมกันแล้ว ทั้งหมด ซึ่งก็คือประเทศไทย มีความเข้มแข็ง
|
ทั้งหมดนี้คือ วิชาการบริหารองค์กร โดยการประยุกต์เรื่องของ Anatomy มาใช้กับการบริหาร องค์กร แล้วลงไปใน รายละเอียด คือการแยกส่วนการบริหารลงไป ที่ประชาชน ที่ข้าราชการ |
นี่คือหลักกว้าง ๆ ที่ต้องการจะปูพื้นฐานให้ท่านเข้าใจและต่อภาพให้เห็นว่า ทำไมถึงได้มีนโยบายต่าง ๆ ออกมา นี่คือภาพทั้งหมดที่อยากให้ท่านเห็นก่อน จะได้คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป |
นโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศออกไปทั้งหมดท่านคงจะได้ยินไปแล้ว ผมอยากให้แต่ละคนทำหน้าที่ชองตนให้เข้มแข็ง เพราะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ และสาเหตุที่มีนโยบายใหม่ ๆ ออกมาอีก เพราะเราคิดว่า ถ้ามีเรื่องใดที่ยังไม่แข็งแรงก็ต้องเติมเข้าไปอีกเพื่อให้ประเทศไทยและคนไทย
แข็งแรง เมื่อแข็งแรงแล้ว ภาพรวมก็คือ ทั้งประเทศและประชาชนมีความสุข
|
เพราะฉะนั้น การขับเคลื่อนด้วยโครงการต่าง ๆ ก็เป็นการกระตุ้นความเข้มแข็งของประเทศนั่นเอง สมัยก่อน คนไทย 18 ล้านคนไม่สามารถเข้าหาระบบสาธารณสุขได้ แต่พอมีนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ทุกคนก็เข้าหาระบบสาธารณสุขได้ แต่บางคนบอกว่าคนมีเงินอยู่แล้วทำไมถึงให้ฟรี นั่นเป็น equal treatment แต่แน่นอนว่าคนที่มีเงินถ้าอยากได้บริการที่ดีกว่าก็ต้องเสียเงินเพิ่มแต่อย่างน้อย ๆ บริการขั้นพื้นฐานต้องเท่าเทียมกัน ก็ทำให้คนไทยมีความสุขขึ้น |
ระบบการศึกษาก็เช่นกัน ถ้าถามว่าทำไมมีระบบ Income Contingent Loan หรือ ICL ก็เพราะอยากให้คนไทยมีโอกาสเข้าสู่ระบบการศึกษามาก ๆ
|
วันนี้ผู้บริหารระดับกลางต้องการการเข้าใจและเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย สิ่งที่ผมมุ่งหวังจากผู้บริหาร ระดับกลางก็คือ
|
1. อยากให้ท่านมองเห็นภาพรวมขององค์การ องค์การใหญ่คือประเทศไทย องค์การต่อไปคือ องค์การของตัวท่าน นั่นคือ กระทรวง กรม หน่วยงานที่ท่านสังกัดอยู่ ผมไม่อยากให้ท่านมองทุกอย่างเป็น มิติเดียว อีกมิติคือมิติภาคประชาชนที่ท่าน ต้องดูแล บริการ หรือคุ้มครอง แล้วแต่ภารกิจของท่าน ตรงนี้คือ สิ่งที่ท่าน ต้องเห็น ต้องเข้าใจ ถ้าท่านเห็นและเข้าใจก็จะรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วท่านก็จะพบว่ามีสิ่งท้าทาย อยู่มากมาย ถ้าท่านมีจิตวิญญาณในการมอง เช่น ถ้าท่านเป็นตำรวจ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด สิ่งทีท้าทายก็คือ ทำอย่างไรให้ให้ประชาชนในจังหวัดของท่านอยู่ร่วมกัน อย่างสันติ ไม่ให้ผู้ที่มีกำลังมากกว่าข่มเหงรังแกผู้มีกำลังน้อย กว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพล ผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบ พ่อค้ายาเสพติด นักการพนัน โต๊ะบอล นั่นคือภารกิจ ที่ท้าทาย ท่าน ถ้าท่านเข้าใจว่าภารกิจของท่านคือการดูแลประชาชน ก็จะเห็นว่ามีเรื่องท้าทายมาก ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความสุข ไม่มีภาระ ก็ต้องไม่ให้ลูกน้องของท่านไปรีดไถหาเงิน ไม่ให้ใครไปเปิดบ่อน ซึ่งจะสร้างภาระให้เขา นั่นคือสิ่งที่เป็น หน้าที่
|
หรืออย่างนายอำเภอก็อาจจะมองว่า รัฐบาลมีนโยบายแก้ไข ปัญหาความยากจนแล้ว ก็ต้องทำให้อำเภอของท่านไม่มีความยากจน ต้องรีบไปแก้ไข ไปเยี่ยมทีละครอบครัว เพื่อให้รับทราบปัญหา ทุกปัญหามีคำตอบและทางแก้ด้วยนโยบายของ รัฐบาลชัดหมดแล้ว เกือบจะทุกเรื่องมีนโยบาย รองรับหมดแล้ว ซึ่งท่านก็จะต้องดูว่าปัญหาแต่ละเรื่องของประชาชนจะช่วยเหลือด้วยนโยบายใดของรัฐบาล ท่านจะท้าทายได้ด้วยการตั้งเป้าว่าจะแก้ไขปัญหาให้ได้กี่ตำบลภายในกี่เดือน ทำให้ได้ตามนั้น แล้วปีต่อ ๆ ไป ็เข้าไปดูว่า ประชาชนสามารถช่วยตัวเองได้แค่ไหน นี่คือสิ่งที่จะท้าทายท่าน เพียงแต่ท่านมีใจอยากจะทำหรือไม่ ถ้าท่านมีจิตวิญญาณ มีเมตตาธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ ท่านก็จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
|
2. อยากให้ท่านรู้และเข้าใจวิธีการบริหารการจัดการ ถ้าท่านเข้าใจและรู้มันก็ไม่ยาก หลักไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ต้องทุ่มเท เข้าใจว่าท่านมีหน้าที่ประชาชนในความดูแลของท่านมีความสุข พ้นทุกข์ นโยบายทุกด้านต้องถึงมือประชาชน ใส่ใจในเรื่องที่เป็นนโยบายของรัฐบาลทั้งหมด เข้าใจทุกเรื่อง และนำไปให้บริการกับประชาชน การมีจิตใจเป็นผู้ให้บริการเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าท่านมีจิตใจเป็นผู้ให้บริการท่านก็จะเข้าใจเรื่อง การบริหารการจัดการ
|
การบริหารการจัดการนั้นก็คือ มุ่งสู่ผลลัพธ์ที่เราอยากให้ ประชาชนมีความสุขอย่างไร ให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็งอย่างไร คิดแค่นี้ง่าย พยายามทำง่าย ๆ การบริหารก็คือเรื่องธรรมชาติมาก ๆ ธรรมะก็คือเรื่องธรรมชาติ ทุกอย่างคือความเข้าใจธรรมชาติ และการทำงานแบบธรรมชาตินั่นเอง ไม่มีอะไรที่ต้องไปคิดเป็นวิชาการมากมายจนงง หลักก็คือ คิดดี ปรารถนาดี ทำดี และทำให้ประชาชน ทำให้ ประเทศชาติ แล้วท่านก็จะได้อานิสงส์เอง เพราะงานสำเร็จ ประชาชนรัก คุณความดีก็เกิด
|
3. อยากให้ท่านเพิ่มมูลค่าและสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับองค์การของท่าน นั่นคือ เมื่อท่านรู้หน้าที่ ของท่าน เข้าใจแล้วว่าทั้งหมดนี้ รัฐบาลต้องการอะไร และท่านเห็นด้วยว่าต้องทำให้ประเทศไทยเข้มแข็ง ประชาชนมีความสุข หน้าที่ของท่านก็คือต้องทำให้ได้ ทีนี้ท่านสามารถที่จะคิดอะไรต่อไปได้อีก คือเพิ่มมูลค่าขึ้น ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น ท่านอาจคิดวิธีใหม่ ๆ
|
โลกยุคใหม่ต้องสนใจ result ผู้บังคับบัญชาต้องไม่จุกจิกเรื่อง process แต่สนใจว่าผลลัพธ์นั้นตกอยู่ที่ประเทศและประชาชน อย่าไปลงรายละเอียดจนไปนั่งคุมว่าต้องทำตาม กระบวนการ ของตน ขอให้สนใจ result มากกว่า process แล้วไปคิดต่อเองว่าจะให้ผลลัพธ์ออกมา ดีอย่างไร โดยวิธีการอย่างไร
|
เราต้องปรับวัฒนธรรมในการทำงานให้สนใจให้สนใจ process น้อยหน่อย คนที่สนใจ process คือคนที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คนที่สนใจ result คือคนที่ต้องการทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก ทำงานง่ายขึ้น คล่องขึ้ึน |
4. เป็นเรื่องต่อเนื่องกัน อยากให้ท่านมีความคิดสร้างสรรค์ ก้าวหน้าไม่หยุดนิ่ง ผู้บังคับบัญชาระดับสูงอย่าไปกดหัวผู้บังคับ บัญชาระดับกลาง ผู้บังคับบัญชาระดับกลางก็อย่าไปกดหัวผู้บังคับบัญชาระดับล่างไม่ให้คิด มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า Ideas are free ซึ่งมีเนื้อหาสรุปว่า การที่มีคนเสนอไอเดียมามาก ๆ เป็นเรื่องที่ไม่เสียเงิน ดังนั้น พยายามให้เขาพูดและฟัง อันไหนดูดีีก็ทำ ไม่ดีก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นถ้าผู้บริหารระดับล่างได้แสดงความคิดเห็นมาก ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเอง
|
5. อยากให้ท่านได้เพิ่มพูนทักษะ ขีดความสามารถให้สูงขึ้น เพราะในอนาคตท่านต้องเป็น ผูู้้บริหาระดับสูง เราจึงอยากเห็นท่านได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น ทาง ก.พ.ร. ก็ดี ก.พ. ก็ดี จะมีระบบการพัฒนาผู้บริหารระดับกลางต่อไปเพื่อให้ท่านได้มีโอกาสพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
|
|
ผมอยากให้ท่านสนใจเรื่องของ การเป็นผู้นำที่ดี (Leadership) คนที่เป็นหัวหน้าแล้วไม่มีภาวะผู้นำ มีประโยคภาษาอังกฤษบอกว่า Leader without leadership is not a leader คือ ท่านจะต้องมีภาวะผู้นำ ผู้นำต้องรักงาน รู้จักแคร์คนอื่น รู้จักให้บริการ ต้องเสียสละ เข้าใจคนอื่น กล้ารับผิดชอบ ติดดิน เพราะฉะนั้นผู้บริหารระดับกลางต้องเป็นตัวอย่างที่ดี วันนี้เราเป็นรัฐบาลที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ข้าราชการจะนั่งเป็นนายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ต้องมีจิตใจเป็นผู้ให้บริการ |
|
พวกเรามาทำงานทั้งหมดเพื่อให้ประชาชน เงินเดือนและสวัสดิการของพวกเรามาจากภาษีีของประชาชน เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ทำงาน ให้ประชาชน เพราะฉะนั้นผู้บริหารระดับกลางต้องมีจิตใจเป็นผู้ให้บริการ มุ่งให้บริการให้ได้
|
ระบบเดิม ๆ ที่เป็น Command control ควบคุมทุกอย่าง สั่งทุกอย่าง แบบที่ทำกันสมัยก่อนนั้น เป็นเรื่อง ล้าสมัย ในโลกยุคใหม่นี้ใช้ Inspiration คือ ทำอย่างไรที่จะจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ทำงาน และสร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้น่าทำงาน และใช้สมอง ใช้ talent ของเขาให้ได้ วันนี้ talent เป็นเรื่องสำคัญที่เราอยากได้ ผู้บริหารระดับกลางวันนี้ ผมไม่ต้องการคนที่เก่งมาก ๆ แต่ทำงานร่วมกับเพื่อนมนุษย์ลำบาก หรือที่เรียกว่า IQ ดี EQ ต่ำ ผมอยากได้ผู้บริหารที่เก่งพอใช้ได้ แต่ที่สำคัญคือ สามารถทำงานร่วมกับเพื่อนมนุษย์ได้ดี สามารถ connect people ไม่ใช่ correct people คือไม่ใช่คอยติคนอื่นหรือคอยจะแก้ไขเขา อย่างเดียว แต่ต้องพยายามทำให้เขามีจิตใจอยากทำงาน ให้เขาร่วมมือร่วมใจทำงาน เป็นทีม สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้คนที่แย่ยังอยาก ทำงาน สร้างแรงจูงใจให้คนขี้เกียจมีความรู้สึกว่าต้องบริการประชาชน นั่นคือภาวะผู้นำที่ท่านต้องทำ
|
ท่านคือบุคคลที่เราอยากให้เป็นผู้นำทาง มีภาวะผู้นำ ได้รับการพัฒนา และเข้าใจว่าการทำงานนั้น อย่าคิดว่าท่านคือหน่วยงานเดียวที่ต้องทำงาน ท่านยังต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานเหนือ หน่วยงานล่าง หน่วยงานข้างเคียง รวมทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน เพราะฉะนั้นผู้บริหารต้องสร้างเครือข่าย มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เลขาธิการ ก.พ.ร. เอามาให้ผมอ่าน ชื่อว่า Governing by Network เป็นแนวของการบริหารยุคใหม่ที่ต้องเข้าใจคำว่า networking คือ การทำงานให้สำเร็จนั้น แต่ละองค์กรจะมีเครือข่ายอยู่ เครือข่ายดังกล่าวก็คือ องค์กรท้องถิ่น NGO ผู้รับเหมาที่ต้องมาทำงานให้เรา องค์กรข้างเคียง ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะฉะนั้นท่านคือตัวกลางหมดทุกเรื่อง ท่านจะต้องสร้างเครือข่ายเพื่อให้ทุกคนมาร่วมกันทำงาน เพื่อความมั่นคงของประเทศ และความผาสุก ของประชาชน
|
หลักมีอยู่แค่นี้ เพียงแต่สิ่งที่ผมพูดวันนี้บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจ ก็ลองไปนั่งคิดกันหลาย ๆ รอบว่าเรามาทำงานเพื่ออะไร ทำไมท่านจึงมีความสำคัญ ท่านมีความสำคัญเพราะต้องการให้ท่านเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมเครือข่ายที่จะทำงานให้ประชาขน และประเทศชาติ ในการที่จะรับสัญญาณ คือ นโยบายและทิศทางในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ส่งผ่านต่อไปยังผู้ปฏิบัติที่สัมผัสกับประชาชนอย่างใกล้ชิดให้เข้าใจ
|
และขณะนี้หลายหน่วยงานก็ถูกดึงมารวมเป็นระบบเดียวกันทำเป็น Counter Service เพราะเราต้องการบริการประชาชนที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ในบางประเทศจดทะเบียนบริษัทใช้เวลา 3 เดือนไม่เสร็จ ประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่ล้าหลัง และมีคนยากจนสูงมาก บางประเทศใช้เวลาจดทะเบียนบริษัทเพียง 3 ชั่วโมง หรือจดทะเบียนผ่าน internet เสียค่าธรรมเนียมผ่าน credit card ประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งนั้น ถามว่าท่านจะเลือกแบบไหน
|
|
ถ้าท่านจะเลือกเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ท่านก็ต้องยอมรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และใช้ ต่อไปข้างหน้าจะมี Smart card หรือบัตรประชาชนที่มีไมโครชิพอยู่ด้วย เมื่อประชาชนมี Smart card ก็จะเป็นกุญแจสำคัญของประชาชนแต่ละคนที่สามารถไปขอรับบริการต่าง ๆ ของรัฐได้คล่องขึ้น นั่นเพราะเรากำลังจะ turn ประเทศโดยใช้ระบบ IT ทั้ง front office และ back office
|
สิ่งที่ท่านจะเห็นในอนาคตข้างหน้า คือ ปีการศึกษาหน้า ทุกโรงเรียนจะมีคอมพิวเตอร์ มี internet หมด และปีการศึกษา 2550 ท่านจะเห็นเด็กประถม 1 หิ้วคอมพิวเตอร์ Laptopไปโรงเรียน One laptop per child' นั่นคือ การศึกษาจะถูกพัฒนามาก ไม่ต้องถือหนังสือเยอะ ๆ เพราะจะอยู่ในคอมพิวเตอร์หมด เป็น e-book สิ่งเหล่านี้กำลังตามมา ลูกหลานของท่านจะเริ่มเล่นคอมพิวเตอร์ เริ่มมี e-book มี interactive book เพราะฉะนั้นท่านเองจะไม่สนใจ IT ไม่ได้
|
IT เป็นเรื่องไม่ยากแต่ต้องเรียนนิดนึง เรียนแค่ 9 ชั่วโมงก็เป็นแล้ว และไม่ต้องอายที่จะเรียนรู้ วันนี้ท่านคือผู้บริหารระดับกลาง ท่านมีทางที่จะวิ่งไปสู่ผู้บริหารระดับสูง แล้วท่านกำลังมองเห็นโลกข้างหน้าว่าต้องทำอะไร อีกมากมาย และมีสิ่งท้าทายอีกมากมาย ถ้าท่านไม่เรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ ท่านก็จะไม่มีโอกาสเป็น ผู้บริหารระดับสูงที่ดีได้
|
เรากำลัง modernize ประเทศไทยขนานหนัก นั่นก็คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งภาคประชาชน คือ Smart card ภาคเยาวชน คือ เรื่อง One laptop per child และการมี internet ทุกโรงเรียน ภาคการบริหาร ราชการ ก็มี GFMIS เป็นระบบ back office และภาคการบริการประชาชน คือเรื่องของ e-Service, Counter Service, One Stop Service
|
เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะ transparent หมด คนที่จบปริญญาตรีมาทำงานต่อไปนี้จะเป็น Knowledge worker เพราะนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ มีข้อมูลอยู่ในคอมพิวเตอร์ สามารถตัดสินใจได้ในระดับหนึ่ง
|
สิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ จึงอยากจะให้ท่านผู้บริหารระดับกลางทั้งหลายต้องใส่ใจ ยอมทันสมัย ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ ท่านก็ต้องเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ ขณะนี้ ผมกำลังแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ซึ่งอยากให้ท่านรับรู้ไว้ นั่นคือ
|
เรื่องที่ 1 คือ ขณะนี้ หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจ เรายังไม่ได้ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การปรับโครงสร้างหนี้นั้นถูกครึ่งเดียว การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจนั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ การที่เราได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำมัน เพราะเนื่องจากโครงสร้างในการใช้พลังงานของเรานั้น พึ่งน้ำมันมาก เมื่อน้ำมันขึ้นราคาเราก็เลยเหนื่อยมาก |
|
|
ขณะนี้เรากำลังจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลายอย่าง เรื่องแรกก็คือ ทางภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร และภาคบริการ เราจะดูว่าเรื่องไหนแข่งขันไม่ได้ ก็จะพัฒนาให้สามารถแข่งขันได้ ถ้าพัฒนาไม่ได้ก็จะต้องบอกกันให้รู้ว่าเรื่องนี้ไปไม่รอด เพื่อหาแนวทางใหม่ให้ภาคเอกชนได้รู้ ขณะนี้กำลังทำกันอย่างเข้มข้นเพื่อที่จะดูว่าเรื่องใดแข่งขันได้ หรือแข่งขันไม่ได้ และถ้าแข่งขันได้ จะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไร ทั้งด้านอุตสาหกรรม เกษตร และบริการ
|
กลับมาที่เรื่องพลังงาน ขณะนี้รัฐบาลมองว่า เราจะต้องพึ่งพาน้ำมันให้น้อยลง เรามีพลังงานที่เป็นของเราเองคือ ก๊าซธรรมชาติ ในขณะนี้เราใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามาก ใช้น้ำมันน้อย แต่ถ้าเรานำก๊าซธรรมชาติมาใช้ในการขนส่งมาก ก็จะทำให้หมดเร็ว เพราะฉะนั้นเราเลยจะเปลี่ยนเอาพลังงานน้ำจากของประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาแทนที่ก๊าซธรรมชาติในการ ผลิตไฟฟ้า และนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ในระบบขนส่ง เพื่อให้ระบบขนส่งใช้ทั้งก๊าซและน้ำมัน นอกจากนี้ เราก็จะทำในเรื่องของไบโอดีเซลล์ ทำเรื่องแก๊สโซฮอลล์ นั่นคือ การส่งเสริมให้ปลูกพืชทางการเกษตรที่จะนำมาใช้เป็นพลังงานชีวภาพ
|
นี่คือทิศทางที่เราจะไป จึงอยากให้ท่านเข้าใจว่า ต่อไปนี้เราจะมีระบบขนส่งมวลชนที่ใช้ไฟฟ้าซึ่งผลิตด้วยพลังงานน้ำมากขึ้น ระบบขนส่งทางรถยนต์ก็จะพยายามให้ใช้ไบโอดีเซลล์ และก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
|
เรื่องที่ 2 ขณะนี้กำลังมีการปรับนโยบายและกฎหมายครั้งใหญ่ มีระบบหนึ่งที่เรียกว่า Legal Reform ซึ่งมีท่านรองฯ วิษณุเป็นประธานอยู่ คือ นอกจากปรับระบบบริหารราชการแล้ว ก็จะปรับกฎหมาย เพราะกฎหมายคือกฺติกาที่เราจะอยู่ร่วมกัน และทำงานด้วยกัน แต่เนื่องจากกฎหมายนั้น มีทั้งกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญติ และของฝ่ายบริหาร ซึ่งก็คือ กฎกระทรวง กฤษฎีกา ระเบียบ ทั้งหมดนี้จะถูกยกเครื่องซึ่งมีคณะกรรมการแต่ละชุดแล้ว และการยกเครื่องกฎหมายในครั้งนี้เราจะทำ 3 ทาง ทางหนึ่งคือตั้งผู้เชี่ยวชาญเป็นกรรมการพิจารณา ทางที่สองมาจากกระทรวงต่าง ๆ ที่จะเสนอเข้ามาเพื่อแก้ไขปรับปรุง ทางที่สามมาจาก stakeholder ทั่วไป โดยที่กระทรวง ICT กำลังจะตั้งเว็บไซต์เพื่อให้ stakeholder ของกฎหมายแต่ละฉบับเข้ามาเสนอแก้ โดยจะระบุว่าคุณเป็นใคร ทำอะไร และเสนอว่ามาตราใดควรแก้อย่างไร เพราะอะไร
|
เราจะรับฟังทั้ง 3 ทาง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายทั้งระบบของประเทศอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เรามีกฎหมาย ตรา 3 ดวงครบ 200 ปี เพราะฉะนั้นในปี 2549 จะเป็นปียกเครื่องกฎหมายด้วย |
หากท่านผู้บริหารระดับกลางพบว่ากฎหมายใดมีปัญหา ก็สามารถนำเสนอได้ ถ้าต้องการนำเสนอตรง ก็สามารถทำจดหมายถึงรองฯ วิษณุเลยก็ได้ในฐานะเป็นประธานแก้ไขกฎหมาย
|
เรื่องที่ 3 ขณะนี้กำลังมีการศึกษาเรื่องความรู้เท่าทันโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายทุน คน สินค้าและบริการ ความรู้และเทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสาร สิ่งเหล่านี้ถ้าเรารู้ไม่เท่าทัน เราก็จะได้รับผลกระทบ ในทางลบ ถ้ารู้เท่าทันก็จะได้รับอานิสงส์ในทางบวก ขณะนี้ผมได้มอบให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เป็นนักวิชาการประจำ ครม. ไปจัดทีมศึกษา และขณะนี้ก็ก้าวหน้าไปมาก ในที่สุดก็จะไปสู่การปรับปรุงนโยบาย ปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับการยกเครื่องกฎหมาย เพื่อให้เรารู้เท่าทันโลกาภิวัตน์ เพราะเราหนีมันไม่พ้น
|
|
เรื่องที่ 4 เป็นเรื่องที่จะนำไปหารือใน ครม. และในคณะกรรมการหลายชุด จึงอยากให้ท่านทราบว่า ขณะนี้โลกเปลี่ยนไปมาก เราต้องยอมรับว่ามี gap ระหว่างความรู้ของคนของเรา คือ ระบบราชการ กับสิ่งที่โลกก้าวไปมาก เพราะเราเป็นประเทศที่มีวิจัยน้อย มีวิจารณ์มาก เมื่อวิจัยน้อย ความรู้ในเรื่องใหม่ ๆ ของเราก็ไม่ทันเขา
|
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ตอนที่ทรงพัฒนาประเทศไทย นำไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ครั้งใหญ่คราวนั้น และพวกเราได้อานิสงส์กันจนถึงทุกวันนี้ ในวันนั้น หลังจากพระองค์ท่านทรงกลับจากเสด็จประพาสยุโรป ก็ทรงมองเห็นว่า ประเทศไทยยังล้าหลังอยู่มาก ถ้าจะพัฒนาให้เร็วขึ้น โดยใช้คนที่มีความรู้จำกัด ก็จะทำได้ไม่เร็ว ท่านจึงทรงแต่งตั้งชาวต่างชาติมาเป็น อธิบดีบ้าง ผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจบ้าง มาทำงานหลายเรื่องให้กับประเทศไทย นำประเทศไทยไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว
|
แล้วท่านมองเห็นหรือไม่ว่า เราต้องการแต่เงินเข้าประเทศ จึงได้ตั้ง BOI เพื่อเชิญชาวต่างชาติมาลงทุนใน ประเทศ ซึ่งสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ในที่สุดเงินเหล่านั้นก็เข้ามาโดยจ้างคนไทยทำงาน แต่เขาค้าขาย มีกำไร ไม่ต้องเสียภาษี และนำเงินปันผลออกไป บริษัทก็ยังเป็นของต่างชาติอยู่
|
ด้วยเหตุนี้จึงต้องมาคิดว่า ทำอย่างไรให้เรามีทั้งเม็ดเงินเข้ามา และนำความรู้ที่มีอยู่ทั้งโลกมาพัฒนาประเทศไทยให้เร็วขึ้น แทนที่เราจะมาคิดเองทำเองคงไม่ทัน เราก็ต้องคิดหาวิธีที่จะนำความรู้ที่ได้รับการวิจัยมาแล้วจากทั่วโลกมาใช้ในประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาที่มีคนจากทั่วโลกไปอยู่และสมองของคนทั่วโลกที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็สร้างความเจริญให้กับ สหรัฐอเมริกา ผมจึงมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะพัฒนาประเทศไทยให้เร็วโดยนำความรู้ของทั้งโลกที่มีอยู่ และนำเงินของเขามาพัฒนาประเทศไทย
|
สิ่งที่ผมคิดคือ จะเชิญทั่วโลกมาเสนอแนวทางในการพัฒนาความเจริญให้ประเทศไทย อย่าง mega project ที่เราวางไว้มันเดินไม่ได้ เพราะเรามีข้อจำกัดหลายอย่าง เรามีเงิน มีเครดิต แต่เดินหน้าไม่ได้ เพราะเรามีความรู้ที่จำกัด เราจึงควรนำความรู้ที่มีอยู่ทั่วโลกมาทำ ผมจึงจะเชิญทั่วโลกเข้ามาเสนอแนวทาง โดยให้เขาใช้เงินของเขาเองในการดำเนินการ และเมื่อทำเสร็จแล้ว เราก็จะผ่อนชำระเป็นสินค้าบ้าง เป็นเงินบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมจะใช้ดัชนีเศรษฐกิจมหภาคเป็นตัวคุม เพื่อให้เราสามารถรักษาวินัยทางการเงินการคลังได้ นั่นก็คือ หนี้ต่อ GDP ไม่เกิน 50% การชำระเงิน debt repayment ทั้งหลายต้องไม่เกิน 16% ของงบประมาณทั้งหมด เราคุมตรงนี้ คุม current account แล้วให้เขาเสนอ free style เข้ามาโดยตั้งกรรมการพิจารณาร่วมกัน เชิญสื่อมวลชน สตง. ปปช. มาช่วยกันนั่งดูอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้การพัฒนาเร็วขึ้นมาก เพราะหลายเรื่องที่เราคิดกันอยู่นี้มีผลงานวิจัยอยู่ทั่วโลก ให้เข้าเสนอมาแล้วเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย
|
|
นื่คือแนวทางที่เราจะเดินต่อไป จึงอยากให้ผู้บริหาระดับกลางได้ฟังจากปากผม จะได้เข้าใจว่าทั้งหมดที่ทำก็คือการพัฒนาประเทศ ให้เข้มแข็ง เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้โอกาสประชาชนอย่างเต็มที่ นั่นคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางด้านกายภาพ ด้านกฎ ระเบียบ และด้านกติกาของการอยู่ร่วมกัน รวมทั้งการนำเทคโนโลยีีมาใช้ |
|
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องหวยใต้ดิน ที่เราเอาหวยใต้ดินขึ้นบนดิน ผมได้รับรายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่าตั้งแต่เปิดมาได้กำไร 12,000 ล้านบาท ถ้าไม่ทำเช่นนี้ กำไรเหล่านี้ก็จะไปตกอยู่กับพ่อค้าหวยใต้ดินกับตำรวจที่ไม่ดี แต่วันนี้เงิน 12,000 ล้านบาทกลายเป็นทุนการศึกษาของลูกหลานยากจน เราสร้างเด็กยากจนให้มีโอกาส วันนี้ถ้าเขาเลิกเล่นหวยได้ ผมขอบคุณ แต่ในเมื่อเลิกไม่ได้ แทนที่จะให้ผู้มีอิทธิพลทั้งหลายเอาเงินเหล่านี้ไปและไปสร้างปัญหา เราเอาเงินเหล่านี้มาเป็นทุนการศึกษาให้ลูกหลานดีกว่า
|
วันนี้ตัวเลขชัด ผลงานที่ออกมาก็ชัด แต่แน่นอนว่าระหว่างการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีคนต่อต้าน และคนที่ไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ผมต้องการก็คือ ผู้บริหารระดับกลางของราชการต้องเข้าใจ และทำให้สำเร็จ จึงจะเกิดผลสำเร็จ ถ้าท่านทั้งหลายซึ่งเป็น Change agent คือเป็นตัวกลางของการ เปลี่ยนแปลง ไม่เข้าใจ ก็จะเปลี่ยนไม่ได้ แต่ถ้าท่านเข้าใจและช่วยกันปฏิบัติ มันก็จะเป็นไปได้จริง ๆ |
วันนี้ถ้าท่านอยากเห็นประเทศไทยพัฒนา คนไทยพ้นจากความยากจน ลูกหลานของท่านใช้ ้ภาษาอังกฤษคล่อง ใช้คอมพิวเตอร์เก่ง เรียนหนังสือรู้เรื่อง ทันผู้ทันคน ท่านต้องเสียสละ วันนี้พวกเราทุกคนต้องเสียสละ ต้องทุ่มเท เพื่อจะเห็นในสิ่งที่เราอยากเห็น |
ในเมื่อวันนี้ประชาชนให้โอกาสรัฐบาลในการบริหารเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เพราะฉะนั้นผมต้องทำเต็มที่ ผมไม่เคยรู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย จึงอยากจะขอร้องท่านทั้งหลายในฐานะผู้บริหารระดับกลางให้ช่วย ถ้าวันนี้ท่านทั้งหลายเข้าใจในทิศทางของประเทศ และทุ่มเท สิ่งนี้จะเป็นความสำเร็จของประเทศไทย เพราะถ้าผู้บริหารระดับกลางไม่ทุ่มเท ไม่เข้าใจ ก็จะทำงานเหนื่อย
|
วันนี้จึงต้องทั้งขอร้องทั้งเชิญชวนให้ผู้บริหาระดับกลางทั้งหลายเข้าใจว่า รัฐบาลนี้ต้องการอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศของเรายกระดับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ไม่ใช่ความเท่ แต่เป็นความมั่นคงทั้งเศรษฐกิจและการเมือง และเมื่อประเทศมั่นคงทั้งเศรษฐกิจและการเมือง และสามารถเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ นั่นก็คือสิ่งแวดล้อมดี เพราะฉะนั้น เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายก็จะต้องแข็งแรงตามไปด้วย มันเป็นสิ่งเกื้อกูลกันว่า ถ้าร่างกายแข็งแรง เซลล์ก็แข็งแรง หรือถ้าเซลล์แข็งแรง ร่างกายก็จะแข็งแรง มันเป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน นั่นคือ ถ้าประชาชนแข็งแรงประเทศไทย ก็แข็งแรง และถ้าประเทศไทยแข็งแรง ประชาชนก็แข็งแรง เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ด้วย
|
เพราะฉะนั้นเราต้องนำพาประเทศไทยให้แข็งแรง เพื่อให้ประชาชนแข็งแรง และนำพาประชาชนให้แข็งแรง เพื่อให้ประเทศไทยแข็งแรง เราจึงต้องช่วยกันทำนโยบายทั้งภายในและภายนอกให้ได้ ไม่มีอะไรเกินมือกับสมองของเรา เพียงแต่ความทุ่มเท ตั้งใจ มุ่งมั่น และเสียสละด้วยจิตวิญญาณนั้น ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ |
วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรักและสำนึกต่อชาติ ความรักและสำนึกต่อ พระเจ้าอยู่หัว ทำอย่างไรถึงจะให้ท่านทรงมีพระทัยเบิกบาน นั่นก็คือ ท่านทรงอยากเห็นความทุ่มเทของข้าราชการ อยากเห็นข้าราชการรักประชาชน อยากเห็นประเทศมีการพัฒนาที่เข้มแข็ง ประชาชนมีความสุข นั่นคือสิ่งที่เราจะทำให้ท่านทรงมีพระชนมายุที่ยืนยาวแน่นอน
|
เราทั้งหลายคือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลก็ถือว่าเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ถ้าเราทุ่มเทกันเต็มที่ รับรองเลยว่าภายใน 3 ปีนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารของ ประเทศ |
และหลังจากทีท่านทุ่มเทใน 3 ปีนี้ วัฒนธรรมการทำงานของข้าราชการจะเปลี่ยนไป นั่นคือ วัฒนธรรมดี ๆ จะถูกถ่ายทอดและฝังลงไป คนรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาแทนท่าน และท่านขึ้นไปแทนคนรุ่นเก่าที่จะต้องเกษียณไป จะเกิดการล้างวัฒนธรรมในการทำงานแบบเดิม ๆ ที่ยึดระบบราชการเป็นศูนย์กลาง เปลี่ยนมาเป็นยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง bottom line ในการทำงานของประเทศอยู่ที่ประเทศและประชาชน
|
ตรงนี้จะเปลี่ยนจากการสนใจ process มาเป็นการสนใจที่ result เปลี่ยนจากการเป็นเพียงผู้นำตามกฎหมาย มาเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำที่รู้จักเสียสละ รับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนขึ้นทันทีใน 3 ปี |
ท่านคงเห็นแล้วว่า ผมพยามยามขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งไม่เคยขึ้นเลยมา 10 ปี โดยขึ้นไปแล้ว 2 ครั้ง และอีก 3 ปีก็จะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือการปรับบัญชี นอกเหนือจากการเลื่อนเงินเดือนตามตำแหน่ง และแน่นอน ถ้าระบบราชการเข้มแข็งขึ้น ผลลัพธ์ดีขึ้น เราก็สามารถที่จะปรับเงินเดือนข้าราชการได้ เพราะผมต้องการเห็นเงินเดือนข้าราชการใกล้เคียงกับภาคเอกชน ถึงแม้จะไม่เท่าเพราะเรามีสวัสดิภาพ สวัสดิการดีกว่า
|
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การมีประสิทธิภาพในการบริหาร ผมไม่อยากให้ท่านเห็นว่ามีงบประมาณแล้ว ต้องใช้ให้หมด วัฒนธรรมนี้ต้องเลิก เปลี่ยนไปเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เหลือคือเหลือ แต่ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลสั่งการแล้วต้องทำ หากไม่มีงบก็สามารถขอได้ รัฐบาลจะจัดให้
|
เพราะฉะนั้นการบริหารงบประมาณของรัฐบาลนี้ก็เปลี่ยนไป เรื่องที่ต้องทำต้องมีเงิน แต่เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทำ แม้มีเงินก็ไม่ให้ มิเช่นนั้น หากเราใช้เงินไปเรื่อย ๆ คิดว่างบประมาณมีแล้วต้องใช้ให้หมด ประเทศก็จะไปไม่รอด วัฒนธรรมตรงนี้ต้องเลิก เราต้องใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ
หากใน 3 ปีนี้ ท่านทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทำงานมุ่งประชาชน เสียสละ ไม่มีการทุจริตคอรัปชัน ผมเชื่อว่าประเทศจะเข้มแข็งได้
|
|
|
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เรามาพบกันในวงกว้างขนาดนี้ จึงขอให้ท่านนำทุกนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะทุกนโยบายนั้นคือคำตอบที่ผมให้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า สมมติแผนที่ประเทศไทยเป็นร่างกาย มีเซลล์คือประชาชน มีระบบราชการทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น คือ อวัยวะ มีสถาบันพระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยเป็นจิตวิญญาณของมนุษย์คนนี้ ผมเชื่อว่าถ้าท่านเข้าใจเข้าใจอย่างนี้ ทุ่มเทและทำนโยบายให้สำเร็จ ท่านจะเห็นชัดว่าสิ่งนี้จะเป็นความทรงจำที่ดีของชีวิตว่า ครั้งหนึ่งพวกเราได้ช่วยกันทุ่มเททำให้ประเทศเข้มแข็ง และแข็งแรงไปยาวนาน ผมห่วงแค่ช่วงนี้ ถ้าตรงนี้เราเอาอยู่ 4 - 5 ปี ข้างหน้านี้ ผมคิดว่าประเทศไทยจะแข็งแรงไปอีกนาน
|
ผมขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่งที่ตั้งใจมาฟัง และขอขอบคุณ ก.พ.ร. ที่จัดงานครั้งนี้ขึ้น ขอให้ท่านเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ และความมุ่งมั่นในการทำงานของท่าน ในการเป็น Change agent ทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าเข้มแข็ง และประชาชนมีความสุข ขอให้ท่านได้อานิสงส์กลับไปที่ครอบครัวของท่าน ให้ท่านมีอนาคตที่ดี มีครอบครัวแข็งแรง มีลูกหลานที่โตขึ้นเป็นที่ภาคภูมิใจของท่านต่อไป ขอขอบคุณครับ
|