เรื่อง : ทีมที่ปรึกษาโครงการฯ |
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ( 8 - 10 กรกฎาคม 2548) สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "โครงการเพิ่มขีดสมรรถนะในการถ่ายทอดยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ" ( CEO Short Course) ขึ้น ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต ประตูน้ำ โดยได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการและจังหวัดเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ และเพิ่มขีดสมรรถนะในการถ่ายทอดและแปลงแผนยุทธศาสตร์สู่แผนปฏิบัติการ
การประชุมเชิงปฏิบัติการ "โครงการเพิ่มขีดสมรรถนะในการถ่ายทอดยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ" ครั้งนี้ มีรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม เป็นประธานกล่าวเปิด และบรรยายพิเศษในหัวข้อ ผู้ว่าซีอีโอและความคาดหวังในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่งในเดือนนี้ e-News ฉบับนี้มีสรุปการบรรยายพิเศษของรองนายกรัฐมนตรีมาฝากกันค่ะ
ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ท่านนายกรัฐมนตรีได้ไปตรวจราชการในจังหวัดต่าง ๆ และพบว่า บางเรื่องนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถทำได้ ดีเกินคาด แต่ในบางเรื่อง ยังไม่ดีพอ และเมื่อศึกษาแล้วพบว่า เรื่องที่ทำได้ดีจะเป็นเรื่องที่ได้มีการซักซ้อมทำความเข้าใจแล้ว จึงสามารถทำได้ดี ในขณะที่เรื่องที่ยังทำได้ไม่ดีนั้น มีสาเหตุมาจากความคาดหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ทำ แต่ไม่เคยบอกว่าต้องทำอย่างไร จึงเป็นเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมักทำตามความเข้าใจ ความคุ้นเคย และความเคยชินของตนเองในการปฏิบัติ
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ต้องมีการซักซ้อมทำความเข้าใจ โดยเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภมากที่สุดคือ การบริหารงบประมาณในจังหวัด ซึ่งหมายความตั้งแต่การเริ่มกระบวนการตั้งงบประมาณ การเสนองบประมาณ การได้งบประมาณ และการใช้งบประมาณอย่างถูกต้อง ถูกกฎหมาย ใช้งบประมาณเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยความซื่อสัตย์และสุจริต และเม็ดเงินงบประมาณออกไปสู่ภายนอก ไม่ใช่เก็บอยู่ในบัญชี ซึ่งทั้งกระบวนการนั้น เรียกว่า การบริหารจัดการงบประมาณ การบริหารจัดการงบประมาณ ถือเป็นนโยบายที่สำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลตั้งแต่สมัยที่แล้ว และอยู่ในแผนการปฏิรูประบบราชการ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามที่จะให้จังหวัดสามารถเสนอของบประมาณได้ด้วยตนเอง คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำอย่างไรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีความสามารถมีความรู้ความเข้าใจในเทคนิควิธีการงบประมาณ โดยเฉพาะการตั้งและเสนอของบประมาณ เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบาย และนำไปสู่การแบ่งยุทธศาสตร์เป็น 9 ด้าน ซึ่ง ยุทธศาสตร์ คือ เป้าหมายที่จะเดินไปสู่ ปัจจุบันมีการของบประมาณตามรายยุทธศาสตร์ ในการตั้งงบประมาณการของบประมาณ การขออัตรากำลังต้องโยงเข้าหายุทธศาสตร์ให้ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดสัมฤทธิผล โดยยุทธศาสตร์ทั้ง 9 ด้าน ซึ่งเป็นตัวตั้งของการบริหารราชการแผ่นดินของไทย ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 การแก้ปัญหาความยากจน ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันทำให้เศรษฐกิจแข็งแรง โดยเฉพาะทำให้ ประเทศสามารถแข่งขันได้ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ที่ 5 การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนากฎหมายและการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ครอบคลุมเรื่องกฎระเบียบการพัฒนากระบวน การยุติธรรม การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ยุทธศาสตร์ที่ 7 สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยและประชาสังคม ยุทธศาสตร์ที่ 8 ความมั่นคง ยุทธศาสตร์ทื่ 9 การรองรับการเปลี่ยนแปลงและพลวัตรของโลก เมื่อมียุทธศาสตร์เช่นนี้แล้ว ถ้าเป็นในอดีตก็ไม่มีคนสนใจ รัฐบาลก็จะแก้ตัวว่า ที่ยังไม่ทำเพราะเพิ่งผ่านไปปีเดียว หรือเมื่อครบ 4 ปีแล้วก็จะบอกว่า เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ถึงวันนี้รัฐบาลไม่สามารถตีสำนวนอย่างนั้นได้อีกแล้ว เพราะรัฐบาลนี้ (และรัฐบาลหน้า) ได้ผูกมัดตัวเอง ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เพื่อให้เกิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) ทำให้เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น ต้องจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ซึ่งเป็นระดับ National Action Plan เรียกว่า แผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะ การแถลงในรัฐสภาเป็นเพียงนโยบาย พระราชกฤษฎีกานี้จึงกำหนดไว้ว่า เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จ ภายใน 120 วันต้องเสนอแผนการบริหารราชการแผ่นดิน 4 ปี โดยรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพยุทธศาสตร์แต่ละด้านร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง สำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ฯ และ สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกันจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว หลังจากการทำแผนบริหารราชการแผ่นดินเสร็จสิ้น กระทรวงแต่ละกระทรวงต้องทำแผนปฏิบัติราชการ 4 ปี โดยแผนปฏิบัติการของแต่ละกระทรวงจะต้องกำหนดว่าแต่ละกรม/กอง จะทำอะไร และจะต้องมีความสอดคล้องกับแผนบริหารราชการแผ่นดินและนโยบายของรัฐบาล คือ ยุทธศาสตร์ทั้ง 9 ด้าน ความยากของการจัดทำแผน คือ จะต้องมองภาพในข้างหน้าเป็นระยะเวลา 4 ปี ซึ่งบางกระทรวงไม่สามารถมองภาพในระยะยาวได้ จึงมีการกำหนดว่า หากโครงการใดเรื่องใดไม่อยู่ในแผนปฏิบัติราชการกระทรวงไม่ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ สำหรับในระดับจังหวัด ก็ต้องจัดทำแผนบริหารราชการของจังหวัดที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง แผนการบริหารราชการแผ่นดิน และนโยบายของรัฐบาลเช่นเดียวกัน
ในอนาคต งบประมาณของแต่ละกระทรวงจะลดลง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องทำฝาย หรือเขื่อน โดยถ้าโครงการนี้เป็นแผนของจังหวัดเชียงใหม่ งบประมาณจะปรากฎอยู่ในรายการงบประมาณของจังหวัดเชียงใหม่แทน ซึ่งจะสามารถดูแลและบริหารงบประมาณได้ตรงความต้องการ และถ้าเป็นแผนของจังหวัดเองที่ไม่คาบเกี่ยวกับจังหวัดอื่น เช่น การดำเนินงานในโครงการของจังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ดำเนินการที่อำเภอสะเมิง แต่มีปัญหาไม่สามารถดำเนินการได้ จังหวัดก็สามารถเปลี่ยนพื้นที่เป็นดอยสะเก็ดได้ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นงบประมาณที่ตั้งไว้ที่กระทรวงจะปรับเปลี่ยนได้ยากกว่า พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณกำหนดไว้ว่า หน่วยที่จะตั้งงบประมาณได้คือ กระทรวง ทบวง กรม หรือ เทียบเท่า การแก้ไข พ.ร.บ. งบประมาณ โดยเพิ่มคำว่า จังหวัด ลงไปอีกหนึ่งคำ จำเป็นต้องศึกษาว่าจะกระทบต่อมาตราอื่น ๆ อย่างไร และการแก้ไขนั้น ยังทำไม่ได้เพราะต้องแก้ทั้งฉบับ ดังนั้น ในเรื่องนี้จำเป็นต้องทดลองนำร่องก่อนสัก 1 - 2 ปี แล้วค่อยจึงนำไปปฏิบัติจริง
เดือนตุลาคมนี้ จังหวัดก็จะเริ่มใช้ระบบ GFMIS ซึ่งจะต้องมีความรู้ว่า GFMIS คืออะไร น่ากลัวอย่างไร ต่อไปการตั้งงบประมาณ การบริหารงบประมาณต้องเข้าใจคำว่า ปัจจัยแวดล้อม เช่น ปัจจัยจากการเมือง ทัศนคติประชาชน วัฒนธรรมท้องถิ่น การถ่ายทอดออกไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ดัชนีตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) คือ ในการตั้งงบประมาณจะต้องพิจารณาว่า วิธีการวัดความสำเร็จของโครงการจะวัดอย่างไร นอกจากนั้น ยังต้องพิจารณาถึง เป้าหมาย ขอบเขต กำหนดเวลา ผู้ปฏิบัติ การบริหารความเสี่ยง คือจะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องซักซ้อมความเข้าใจ ได้ทดลองตั้งงบประมาณ บริหารงบประมาณ วิธีที่จะจัดการกับโครงการไม่ให้ล้มเหลว เนื่องจากกระทรวงและจังหวัดจะต้องลงมือทำการแปลงยุทธศาสตร์ ทั้ง 9 ด้านไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับทุกจังหวัด การของบประมาณ ขอบุคลากร ขอเครื่องมืออุปกรณ์จะต้องโยงเข้ากับยุทธศาสตร์ให้ได้ ตัวอย่างการปฏิรูประบบราชการในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปัญหาก่อนการปฏิรูปคือ มีจำนวนข้าราชการ 65,000 คน ผ่านไป 12 ปี เหลือ 30,000 คน ปัจจุบันมีความจะเป็นต้องเพิ่มเป็น 36,000 คน เนื่องจากมีภารกิจเพิ่มขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องมียุทธศาสตร์และให้ทุกคนทราบว่ายุทธศาสตร์คืออะไร รู้ว่าจะไปทิศทางไหน ข้าราชการจะต้องรู้ว่าจะไปทิศทางใด การทำงานถ้ามียุทธศาสตร์ ก็เปรียบเสมือนเรือที่มีหางเสือ สิ่งที่เขาประสบความสำเร็จ คือ การกระตุ้นให้คนทำงานร่วมกันเพื่อไปสู่ยุทธศาสตร์เดียวกัน อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ ปัจจุบันประเทศประสบกับสถานการณ์พลังงานที่รุนแรงและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น ตัวเลขน้ำมันดิบแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อ 30 ปีก่อน เราก็เคยพบกับสถานการณ์เหมือนในปัจจุบันนี้ แต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วเป็นเรื่องที่น้ำมันมี ไม่เพียงพอ แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน ปริมาณน้ำมันมีพอเพียง แต่มีราคาแพงมาก เงินตราที่ควรจะนำไปใช้พัฒนาประเทศกลับต้องนำไปซื้อน้ำมัน
|
|
|
ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร ชี้แจงวัตถุประสงค์ของโครงการ |
วิทยากร |
||||||
|
ดร.สำราญ ภูอนันตานนท์ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน |
ดร. วิเทศ เตชางาม และคุณอัศวิน วราทร ผู้แทนโครงการ GFMIS |
คุณชุณหจิต สังข์ใหม่ กรมบัญชีกลาง |
การประชุมกลุ่มย่อย |
นำเสนอผลงานกลุ่ม โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทร์ เวชชาชีวะ) เป็นประธาน |
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทร์ เวชชาชีวะ) ให้ข้อเสนอแนะ จุดดี จุดด้อย ในการนำเสนอผลงาน |