สำหรับข้าราชการระดับซี 1 ถึง ซี 7 นั้น รัฐบาลก็ได้มีนโยบายให้ความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม
ให้อีก 2 ขั้นแก่ข้าราชการทุกคน (ประมาณเท่ากับ 8%) รวมปรับขึ้นทั้งหมดเป็น 11% อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดังกล่าวนั้น
เป็นการปรับเพิ่มหลังจากการประเมินรอบ 6 เดือนแรกของปีนั้น (31 มีนาคม 2547)
ถ้าใครได้เลื่อน .05 หรือ 1 ขั้น
(เทียบได้ประมาณ 2- 4%) ก็จะนำไปปรับเพิ่มในฐานเงินเดือนก่อนคำนวณ 11% อันเป็นผลให้มีการปรับเงินเดือน
ข้าราชการระดับซี 1 ถึง ซี 7 ขึ้นไปรวมทั้งสิ้นอยู่ประมาณ 13%-15% และถือเป็นการปรับเข้าไปในฐานเงินเดือน
ของแต่ละคนอย่างถาวร
(ต่อมายังได้มีการปรับปรุงเงินเดือนค่าตอบแทนอีกครั้งหนึ่งและยังได้มีมาตรการเสริม
ให้แก่ข้าราชการชั้นผู้น้อยเพิ่มเติมอีกเป็นการเฉพาะ)
ในส่วนของผู้บริหารสูงสุดของแต่ละหน่วยงาน (CEO) นั้นเป็นการปรับเข้าสู่ระบบใหม่เรียกว่า Senior Executive System ซึ่งเป็นการเตรียมการรองรับระบบในอนาคตที่ต้องการให้ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดดังกล่าวมีลักษณะการจ้าง
เป็นวาระคราวละ 4 ปี เช่นเดียวกับผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ โดยผู้บริหารสูงสุดของ
แต่ละหน่วยงานต้องมีการประเมินผล
ตามคำรับรองการปฏิบัติราชการที่ได้ลงนามไว้กับผู้บังคับบัญชา และต้องรับผิดชอบต่อผลการปฏิบัติงานทั้งหมด
ตามคำรับรองที่ได้ทำไว้ ถ้างานไม่ได้ผลตามเป้าหมายก็ให้มีมาตรการลงโทษ เช่น ถอดถอนจากการไปดำรงตำแหน่ง
ในรัฐวิสาหกิจและอื่นๆ หรืออาจโยกไปไว้ในตำแหน่งอื่นแทน หรือเข้าสู่บัญชีผู้บริหาร/อัตราสำรองราชการแทน
(ปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการ)
เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างในโครงสร้างเงินเดือน
(ก่อนปรับเดือนเมษายนปี 2547) กับราคาเงินเดือน
ในตลาดนั้นพบว่า ตอนเริ่มเข้ารับราชการจบปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนประมาณ 6,000 บาทแล้วเงินเดือนขั้นสูงสุด
ในระดับ 11 จะอยู่ที่ประมาณ 60,000 บาท ฉะนั้น ความแตกต่างในช่วงแรกเข้ารับราชการ
กับราคาตลาดอยู่ประมาณ
2 เท่า
(จบปริญญาตรี เข้าทำงานภาคเอกชนได้รับประมาณ 12,000 บาท) แต่สมมุติ
เมื่อรับราชการต่อไปจนถึงระดับ 11 ขั้นสุดท้ายจะได้รับประมาณ 60,000 บาท ซึ่งแตกต่างจากราคาตลาดประมาณอย่างน้อย 5 เท่า สาเหตุก็เพราะโครงสร้าง
เงินเดือนราชการเป็นแบบเส้นตรง
(linear) ฉะนั้น จึงได้มีการปรับอัตราค่าตอบแทนของตำแหน่งปลัดกระทรวง
เป็น 150,000 บาท อธิบดี/ผู้ว่าราชการจังหวัด 120,000 บาท เป็นต้น อันเป็นผลทำให้ความแตกต่างกับตลาด
ก็จะเหลือเพียง 3 เท่า